แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมิได้ชำระตามสัญญาซื้อขาย จำเลยมีหนังสือขอผ่อนชำระหนี้และมีหนังสือขอชำระหนี้ นอกจากนี้จำเลยยังได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระบางส่วนให้แก่โจทก์ ทั้งยังยอมให้โจทก์เรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน ซึ่งธนาคารผู้ค้ำประกันได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับสภาพหนี้ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์แล้ว แม้สัญญาซื้อขายดังกล่าวมีข้อตกลงว่าบรรดาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ กรณีก็ไม่อาจถือได้ว่ามีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งอันเกิดจากหรือเนื่องจากสัญญาซื้อขายตามฟ้องอันโจทก์จะต้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการก่อนฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมิได้สั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุที่โจทก์มิได้เสนอคดีต่ออนุญาโตตุลาการก่อนจึงชอบแล้ว
การพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินต่างประเทศ ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในเวลาที่ใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 196
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังไม่ได้ชำระตามสัญญาซื้อขายจำนวน ๑๓,๕๔๔,๐๗๓.๔๗ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๗ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๑,๗๐๘,๓๖๒.๗๖ ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินหลายจำนวน จนกว่าจะชำระเสร็จ แก่โจทก์ ทั้งนี้โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษาเป็นเกณฑ์ ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันมีคำพิพากษา ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ ๒๐๐,๐๐๐ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงว่าบรรดา ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ มีข้อความว่า บรรดาข้อพิพาทหรือข้อขัดแย้งที่เกิดจากหรือเนื่องด้วย ข้อสัญญาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายคดีนี้ ย่อมหมายรวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายนี้ด้วย หากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งการเรียกร้องให้ชำระหนี้ดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมิได้ชำระจำนวน ๗ เที่ยว เป็นเงิน ๑๓,๘๑๑,๓๕๒.๗๖ ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือปฏิเสธหนี้จำนวนดังกล่าว กลับมีหนังสือขอผ่อนชำระหนี้ และมีหนังสือขอชำระหนี้โดยการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อลูกหนี้รายอื่น และเสนอนำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกัน นอกจากนี้ยังได้ความว่า จำเลยได้ชำระหนี้ ที่ค้างชำระดังกล่าวบางส่วนจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์ ทั้งยังยอมให้โจทก์เรียกให้ธนาคาร ท. ผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งธนาคาร ท. ก็ได้ชำระเงินจำนวน ๒,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับสภาพหนี้ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์แล้ว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่ามีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งอันเกิดจากหรือเนื่องจากสัญญาซื้อขายตามฟ้องอันโจทก์จะต้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการก่อนฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศกลางมิได้สั่งจำหน่ายคดีนี้เพราะเหตุที่โจทก์มิได้เสนอคดีนี้ต่ออนุญาโตตุลาการก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่พิพากษาให้จำเลย ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทยตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษานั้น ยังไม่ชอบด้วยเหตุผล สมควรให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในเวลาที่ ใช้เงิน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๖
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทย ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยของ ธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงินถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้น ก่อนวันที่มีการใช้เงิน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและ การค้าระหว่างประเทศกลาง ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท แทนโจทก์