แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์และนาง ล. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน ต่อมาได้แบ่งแยกเป็นสองโฉนด มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ล้ำเข้าไปในที่ดินของนาง ล. ต่อมานาง ล.ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้นาย ฮ. นาย ฮ.ได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินที่รุกล้ำ โจทก์ยอมรับว่าที่ดินเป็นของนาย ฮ. ตกลงเช่าที่ดินพิพาทเป็นเวลา 5 ปี แต่ไม่จดทะเบียนการเช่า เมื่อนาย ฮ.ตายที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยทางมรดก จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์อ้างว่าสัญญาเช่าไม่จดทะเบียนมีผลเพียง 3 ปี ในคดีดังกล่าวโจทก์อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านเฉพาะประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าบังคับกันได้ 3 ปีหรือ 5 ปี คดีถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าสัญญาเช่าบังคับได้ 3 ปี พ้นกำหนดแล้ว ให้โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าได้ปลูกสร้างอาคารโดยสุจริต และได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภาระจำยอม ข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์คดีนี้มุ่งไปที่เรื่องปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตและได้ภาระจำยอมโดยโจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนและมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนซึ่งเป็นเรื่องเช่าทรัพย์ และกรณีนี้มิใช่เรื่องที่เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันหรือติดต่อกันจากเรื่องเช่าทรัพย์ซึ่งโจทก์ต้องยกขึ้นอ้างหรือต่อสู้เสียในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๗๔ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ร่วมกับนางลักษณา นำไพศาล เมื่อประมาณต้น พ.ศ.๒๔๙๗โจทก์ได้ปลูกอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ จำนวน ๓ ห้อง ลงบนที่ดินดังกล่าวเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกับนางลักษณา ครั้น พ.ศ.๒๕๑๓ โจทก์ได้แบ่งที่ดินให้นางลักษณาจำนวน ๗๓ ๒ ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ พร้อมอาคารไม้ชั้นเดียวเลขที่ ๒๕๓ และอาคารตึก ๑ ชั้น ดาดฟ้าคอนกรีตจำนวน๑ ห้อง จากการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นเหตุให้อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ จำนวน ๒ ใน ๓ ห้องที่โจทก์ปลูกสร้างขึ้น รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ ของนางลักษณาโจทก์ได้ยึดถือครอบครองโดยสงบและเปิดเผยตลอดมา ต่อมาประมาณเดือนมกราคม ๒๕๒๒ นางลักษณาได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่๓๐๕๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้นายฮ่วน ทุ่งสี่ ครั้นนายฮ่วนถึงแก่กรรม ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นมรดกได้แก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๒ จำเลยกับพวกได้ทำการรื้อถอนอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ๒ ห้อง ดังกล่าวของโจทก์ เฉพาะชั้นบนด้านที่ติดกับอาคารของจำเลย และทำการรื้อถอนฝาผนังบ้าน กระเบื้องหลังคา บานประตูและหน้าต่าง ทำให้โจทก์เสียหาย ทั้ง ๆ ที่การปลูกสร้างอาคารของโจทก์กระทำโดยสุจริต ขอศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่๓๐๕๒ เฉพาะส่วนที่อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ ๒ ห้อง ของโจทก์รุกล้ำเข้าไป โดยให้ศาลกำหนดค่าที่ดินตามราคาท้องตลาดที่เห็นสมควร หากจำเลยไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนภาระจำยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๕๙/๒๕๓๐ โดยพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่พิพาท โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องอีกจึงเป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำให้การและคำแถลงรับของคู่ความฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์และนางลักษณา นำไพศาล เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๗๔ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ ได้มีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมกันโดยแบ่งแยกออกเป็นสองโฉนดคือ โฉนดเลขที่ ๑๖๗๔ ซึ่งเป็นโฉนดเดิมและโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ ซึ่งเป็นที่ดินแบ่งแยกออกมาจากโฉนดเดิม ที่ดินตามโฉนดเดิมเลขที่ ๑๖๗๔เป็นของโจทก์ ส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ เป็นของนางลักษณา เมื่อแบ่งแยกกันแล้วปรากฏว่ามีอาคารสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ล้ำเข้าไปในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ ของนางลักษณา ครั้น พ.ศ.๒๕๒๒ นางลักษณาได้ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๐๕๒ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นายฮ่วน ทุ่งสี่ เมื่อซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางลักษณาแล้ว นายฮ่วนได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินของนายฮ่วนซึ่งซื้อมาจากนางลักษณา โจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายฮ่วน โจทก์ตกลงเช่าที่ดินพิพาทจากนายฮ่วนเป็นเวลา ๕ ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่า ปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่๒๑๗/๒๕๒๒ ของศาลชั้นต้น ต่อมานายฮ่วนตาย ที่ดินพิพาทตกเป็นมรดกได้แก่จำเลย จำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าสัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียนมีผลเพียง ๓ ปี และพ้นกำหนด๓ ปี แล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างรวมที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลย โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว แต่อุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าบังคับกันได้ ๓ ปี หรือ ๕ ปี ซึ่งศาลฎีกาเห็นชอบด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าบังคับกันได้ ๓ ปี รายละเอียดปรากฏตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ ๓๓๕๙/๒๕๓๐ ได้ความดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีก่อนนั้นมีคำพิพากษาวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยส่วนที่อาคารปลุกรุกล้ำโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่า จึงมีผลใช้บังคับได้เพียง ๓ ปี และพ้นกำหนด ๓ ปี แล้ว โจทก์จึงต้องออกจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยว่า โจทก์ได้ปลูกสร้างอาคารพิพาทโดยสุจริต และได้ครอบครองโดยสงบเปิดเผยตลอดมา ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนภาระจำยอมข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามฟ้องโจทก์มุ่งไปที่เรื่องการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต และได้ภาระจำยอมโดยโจทก์เป็นเจ้าของโรงเรือนและมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลย จึงเป็นคนละเหตุกับคดีก่อนซึ่งเป็นเรื่องเช่าทรัพย์ และกรณีนี้มิใช่เรื่องที่เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันหรือติดต่อกันมาจากเรื่องเช่าทรัพย์ซึ่งโจทก์จะต้องยกขึ้นอ้างหรือต่อสู้เสียในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป.