คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5224/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม รับรองให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ แต่มีเงื่อนไขว่าหากฟ้องแย้งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมก็ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก จำเลยอาศัยเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้เงินกู้และบังคับจำนองเป็นข้ออ้างว่าทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย มูลกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นเรื่องที่โจทก์หาเหตุแกล้งฟ้องร้องจำเลยโดยไม่มีมูลอันเป็นเรื่องละเมิดไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรับผิดตามเนื้อความในสัญญา จำเลยชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ไม่อาจขอรวมมาในคำให้การได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 5,000,000 บาท และ 7,000,000บาท ตามลำดับ โดยจำนองที่ดินหลายแปลงไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ จำเลยมิได้ผ่อนชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 7,962,199.50 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 5,446,062.02 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 141078,141079, 141080, 141081 ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 1412, 6096 ตำบลบางปะกง (บางปะกงบน) อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงิน 5,000,000 บาท และ9,000,000 บาท (ตามฟ้องโจทก์ 7,000,000 บาท) จากโจทก์ รวมทั้งไม่ได้จำนองที่ดินไว้แก่โจทก์ด้วย จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองจากโจทก์การจำนองที่ดินทั้ง 6 แปลง ทำให้จำเลยไม่สามารถนำที่ดินไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินทั้ง 6 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยนอกจากนี้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งรับราชการเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่เป็นเหตุให้โจทก์ถูกดูหมิ่นถูกเกลียดชัง ถูกกล่าวหาว่าเป็นบุคคลผู้ไม่มีความรับผิดชอบในการชำระหนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเสียหายและเพื่อให้บุคคลอื่นได้ทราบความจริง จำเลยขอให้โจทก์ส่งข้อความขออภัยจำเลยในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน และผู้จัดการเป็นเวลาติดต่อกัน 7 วัน โดยให้โจทก์เสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินตามฟ้องและลงข้อความขออภัยจำเลยในหนังสือพิมพ์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งที่ขอให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองและส่งมอบโฉนดที่ดินคืน ส่วนฟ้องแย้งที่ขอให้โจทก์ลงข้อความขออภัยจำเลยในหนังสือพิมพ์ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้งในส่วนนี้

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฟ้องแย้ง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์ลงข้อความขออภัยจำเลยในหนังสือพิมพ์เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมพอที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่ เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม บัญญัติรับรองให้จำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การได้ก็ตาม แต่มีเงื่อนไขว่าหากฟ้องแย้งเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมก็ให้ศาลสั่งให้จำเลยฟ้องเป็นคดีต่างหาก สำหรับคดีนี้จำเลยอาศัยเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกหนี้เงินกู้และบังคับจำนองเป็นข้ออ้างว่าทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย มูลกรณีที่จำเลยกล่าวอ้างเป็นเรื่องที่โจทก์หาเหตุแกล้งฟ้องร้องจำเลยโดยไม่มีมูล อันเป็นเรื่องละเมิดไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรับผิดตามเนื้อความในสัญญา ดังนั้น จำเลยชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ต่างหาก ไม่อาจขอรวมมาในคำให้การได้ตามมาตรา 177 วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนไม่รับคำฟ้องแย้งในเรื่องนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share