คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5939/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไว้กับธนาคารโจทก์ สัญญาดังกล่าวระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาฝากทรัพย์ซึ่งโจทก์ในฐานะผู้รับฝากมีหน้าที่ต้องคืนเงินที่รับฝากให้จำเลยเพียงเท่าจำนวนเงินที่โจทก์รับฝากไว้จากจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 การที่พนักงานของโจทก์บันทึกรายการในบัญชีของจำเลยซ้ำกัน 2 ครั้ง ทำให้ยอดเงินในบัญชีสูงกว่าความเป็นจริง 35,505 บาท และจำเลยเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปโดยอาศัยความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานโจทก์ เป็นการกระทำผิดสัญญาฝากทรัพย์ เงินที่จำเลยเบิกถอนไปจากโจทก์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ซึ่งไม่มีกำหนดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๔๖,๙๐๐.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๕,๕๐๕ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยนำเช็คไปฝากเข้าบัญชีของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง เงินที่จำเลยเบิกถอนไปใช้เป็นเงินของจำเลย จำเลยไม่เคยเบิกเงินใด ๆ จากบัญชีเกินกว่าที่จะมีสิทธิเบิกได้ และไม่เคยเป็นหนี้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่โจทก์มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยอ้างว่าจำเลยยอมรับและตกลงจะคืนเงินให้นั้นเป็นความเท็จ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๖ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเนื่องจากโจทก์มิได้บรรยายว่าการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีได้ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบและคำสั่งของโจทก์หรือไม่ โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๓๖ นับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า ๑ ปี คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๓๕,๕๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไว้กับโจทก์ นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ การที่พนักงานของโจทก์บันทึกรายการในบัญชีของจำเลยซ้ำกัน ๒ ครั้ง ทำให้ยอดเงินในบัญชีของจำเลยสูงกว่าความเป็นจริง ๓๕,๕๐๕ บาท และจำเลยเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปโดยเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของโจทก์ เมื่อจำเลยได้เงินนั้นไปโดยไม่ชอบ โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาเงินจำนวนนั้นคืนจากจำเลยผู้ซึ่งไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ ซึ่งไม่มีอายุความ โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยผิดสัญญาฝากทรัพย์แล้วพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เป็นการพิจารณาพิพากษาคดีนอกฟ้องนอกประเด็น ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๐ วรรคหนึ่ง นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยโดยถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ศาลอุทธรณ์มิได้รับฟังข้อเท็จจริงใหม่ แต่ศาลอุทธรณ์ปรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมานั้นเป็นเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ จำเลยกระทำผิดสัญญาฝากทรัพย์และโจทก์ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์สินของตนคืน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑,๐๐๐ บาท.

Share