แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องร่วมทำธุรกิจกับห้างหุ้นส่วนจำกัด ด. ในการรับจ้างขนส่งน้ำมันกับบริษัท ช. มาตั้งแต่เริ่มแรก ผู้ร้องย่อมต้องรับรู้ถึงการขนส่งน้ำมันในแต่ละเที่ยวว่ามีปริมาณเท่าใด และมีผลทำให้รถบรรทุกของผู้ร้องต้องบรรทุกน้ำมันมีน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ผู้ร้องจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของบริษัท ช. ที่นำน้ำมันมาบรรทุกในรถบรรทุกของกลาง ผู้ร้องจึงไม่ทราบเรื่องน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดหาได้ไม่ ต้องฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 และริบรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 87 – 2238 กรุงเทพมหานคร ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า รถบรรทุกที่ศาลพิพากษาให้ริบนั้น เป็นทรัพย์สินของผู้ร้องซึ่งผู้ร้องได้ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยเช่าไป ต่อมาจำเลยได้นำรถบรรทุกของผู้ร้องไปกระทำความผิด โดยผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะไม่เคยโต้แย้งกรรมสิทธิ์หรือขอคืนของกลางจากพนักงานสอบสวน และผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยกับจำเลยในการกระทำความผิด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 87 – 2238 กรุงเทพมหานคร ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถบรรทุกของกลางตามเอกสารหมาย ร.1 และได้ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยเช่าพร้อมคนขับเพื่อให้บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เช่าช่วงไปบรรทุกน้ำมันโดยผู้ร้องได้รับค่าเช่าเป็นรายเที่ยว เที่ยวละ 700 บาท กำหนดชำระค่าเช่าทุก ๆ 15 วันต่อครั้ง มีระยะเวลาการเช่า 1 ปี ตามเอกสารหมาย ร.2 ต่อมาจำเลยซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกของกลางถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมและดำเนินคดีในข้อหาใช้ยานพาหนะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยและริบรถบรรทุกของกลาง คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องเบิกความโดยอ้างตนเองเป็นพยานยืนยันว่าได้นำรถบรรทุกของกลางให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยเช่าพร้อมคนขับโดยห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยได้ให้บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เช่าช่วงเพื่อบรรทุกน้ำมัน และผู้ร้องได้รับค่าเช่าเป็นรายเที่ยว ๆ ละ 700 บาท โดยผู้ร้องตอบคำถามค้านของโจทก์ด้วยว่าผู้ร้องไม่ได้นำรถบรรทุกของกลางไปให้บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เช่าโดยตรง เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยเป็นนายหน้าในการนำรถไปให้บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด เช่าช่วง ข้อเท็จจริงดังกล่าวขัดต่อหลักเหตุผลและมีข้อพิรุธสงสัยว่าเหตุใดการขนส่งน้ำมันจึงต้องผ่านระบบนายหน้าแทนที่ผู้ร้องจะดำเนินการรับจ้างขนส่งโดยตรงเพราะหากผู้ร้องรับจ้างขนส่งน้ำมันโดยตรง ก็ย่อมมีรายได้มากกว่าการขนส่งน้ำมันโดยผ่านระบบนายหน้า ทั้งการให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัยเช่ารถบรรทุกของกลางโดยรับค่าเช่าเป็นรายเที่ยวเพียงอย่างเดียวไม่คำนึงถึงระยะทางและระยะเวลาในการใช้รถย่อมเป็นกรณีผิดปกติวิสัยพยานหลักฐานของผู้ร้องไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ เหตุนี้ความผูกพันระหว่างผู้ร้องและห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัย จึงน่าจะอยู่ในลักษณะของการร่วมกระทำธุรกิจขนส่งน้ำมันด้วยกัน โดยผู้ร้องย่อมร่วมรู้เห็นด้วยในการรับจ้างขนส่งน้ำมันเป็นปกติธุระ ดังปรากฏจากคำเบิกความของนายสมเกียรติ เดชอมรชัย หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัย พยานผู้ร้องซึ่งเบิกความยืนยันว่า บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด จะนำรถบรรทุกของกลางไปบรรทุกสินค้าประเภทน้ำมันและพยานได้รับค่าเช่าเป็นรายเที่ยวขั้นต่ำเที่ยวละ 700 บาท ขั้นสูงประมาณ 900 บาท แล้วแต่ระยะทาง โดยเจ้าของรถบรรทุกเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายและค่าน้ำมันเองประกอบกับผู้ร้องเบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์รับว่า คนขับรถบรรทุกของกลางเป็นคนของผู้ร้อง ได้รับค่าจ้างเป็นรายเที่ยวในอัตราร้อยละ 15 ของเงินจำนวน 700 บาท พฤติการณ์แห่งคดีจึงรับฟังได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้ร้องร่วมทำธุรกิจกับห้างหุ้นส่วนจำกัดเดชอมรชัย ในการรับจ้างขนส่งน้ำมันกับบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด มาตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้น ผู้ร้องย่อมรับรู้ถึงการขนส่งน้ำมันในแต่ละเที่ยวว่ามีปริมาณเท่าใด และมีผลทำให้รถบรรทุกของผู้ร้องต้องบรรทุกน้ำมันมีน้ำหนักเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ผู้ร้องจะหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบโดยอ้างว่าเป็นหน้าที่ของบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ที่นำสินค้าประเภทน้ำมันมาบรรทุกในรถบรรทุกของกลาง ผู้ร้องจึงไม่ทราบเรื่องน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้อง