คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5911-5913/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากตึกแถวพิพาทอันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทที่ฟ้อง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมกับจำเลยมีสัญญาต่างตอบแทนและโจทก์ซื้อตึกแถวพิพาทโดยไม่สุจริต ให้ยกฟ้องโจทก์ ดังนั้น การที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่รู้มาก่อนซื้อตึกแถวพิพาทว่าเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมกับจำเลยมีสัญญาต่างตอบแทน และโจทก์ซื้อตึกแถวพิพาทโดยสุจริต เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสอง เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง วรรคสาม

ย่อยาว

คดีสามสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาโดยเรียกจำเลยในสำนวนที่ ๑ที่ ๒ และที่ ๓ เป็นจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินและตึกแถวเลขที่ ๑๑/๒๐,๑๑/๒๒ และ ๑๑/๒๓ จากนางสุขทิพย์กับพวก ตึกแถวดังกล่าวมีจำเลยทั้งสามและบริวารอาศัยอยู่โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสามชำระค่าเช่าแก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย โจทก์ไม่ประสงค์จะให้เช่าอีกต่อไป ขอให้จำเลยทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากตึกแถวของโจทก์ ให้จำเลยแต่ละคนชำระค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การว่า โจทก์มิได้ซื้อที่ดินและตึกแถวตามฟ้อง จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามไม่เคยได้รับแจังจากโจทก์ให้ชำระค่าเช่า โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตึกแถวพิพาทแต่ละห้องให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ ๒๐๐ บาท เดิมจำเลยที่ ๑ เช่าตึกแถวเลขที่ ๑๑/๒๓นายกิตติชัยบิดาของจำเลยที่ ๒ เช่าตึกแถวเลขที่ ๑๑/๒๐ และนายอัมพรสามีจำเลยที่ ๓ เช่าตึกแถวเลขที่ ๑๑/๒๒ จากนางสุขทิพย์และนายชุมพล ต่อมาตึกแถวพิพาทได้ถูกไฟไหม้บางส่วน นางสุขทิพย์และนายชุมพลได้ทำสัญญาต่างตอบแทนโดยให้บุคคลทั้งสามซ่อมแซมตึกแถวพิพาทให้คงอยู่ในสภาพเดิม และจ่ายเงินค่าตอบแทนให้แก่นางสุขทิพย์และนายชุมพลห้องละ ๔๐,๐๐๐ บาท นางสุขทิพย์และนายชุมพลยินยอมให้เช่าตึกแถวพิพาทต่อไปอีกมีกำหนด ๑๒ ปี ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะไปทำสัญญาเช่าและจดทะเบียนการเช่ากันณ ที่ว่าการอำเภอบางกอกใหญ่ จำเลยที่ ๑ นายกิตติชัยบิดาของจำเลยที่ ๒ และนายอัมพรสามีของจำเลยที่ ๓ ได้ซ่อมแซมตึกแถวพิพาทให้คงสภาพเดิม และชำระค่าตอบแทนเป็นเงินห้องละ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่นางสุขทิพย์และนายชุมพลแล้ว ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้นางสุขทิพย์และนายชุมพลไม่ยอมรับค่าเช่า จำเลยที่ ๑นายกิตติชัยบิดาของจำเลยที่ ๒ และนายอัมพรสามีของจำเลยที่ ๓ ได้นำเงินค่าเช่าไปวางไว้ ณสำนักงานวางทรัพย์กลาง เพื่อเป็นการชำระค่าเช่าตามสัญญา นายชุมพลเป็นผู้ซื้อตึกแถวพิพาทและที่ดินร่วมกับโจทก์ด้วย โจทก์จึงต้องร่วมรับผิดต่อจำเลยทั้งสาม และไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาทมาเป็นมูลฟ้องจำเลยทั้งสาม ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน
โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีทั้งสามสำนวนนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์ซื้อตึกแถวพิพาทจากเจ้าของเดิมซึ่งจำเลยทั้งสามเป็นผู้เช่า บัดนี้ครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว และโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสามเช่าต่อไป ขอให้ขับไล่ จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสามมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทเพราะมีสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษนอกเหนือไปจากสัญญาเช่าธรรมดากับเจ้าของเดิม ศาลชั้นต้นฟังว่าเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมกับจำเลยทั้งสามมีสัญญาต่างตอบแทน และโจทก์ทราบถึงสัญญาดังกล่าวแล้วโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ นั้น ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่และผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๓ เป็นคู่สัญญาในสัญญาต่างตอบแทนกับเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิม หาใช่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ เกี่ยวกับการเช่าตึกแถวพิพาทเลย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์เห็นด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ กรณีดังกล่าวนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละห้าพันบาท และจำเลยทั้งสามมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือมิได้ยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาที่ก่อให้เกิดสิทธิอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ดังนี้ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคแรก และวรรคสอง ที่โจทก์ฎีกาในทำนองว่าโจทก์ไม่รู้มาก่อนซื้อตึกแถวพิพาทว่าเจ้าของตึกแถวพิพาทเดิมกับจำเลยทั้งสามมีสัญญาต่างตอบแทนกัน และโจทก์มีความสุจริตในการซื้อตึกแถวพิพาทจากเจ้าของเดิมนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์.

Share