แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ที่จำเลยอ้างว่าคดีนี้ย่อมระงับไปด้วยผลข้อเท็จจริงในส่วนคดีอาญาเพราะโจทก์ได้รับเงินครบถ้วนแล้วนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ และคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินตามเช็คพิพาทจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ การที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวคงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์แล้วเท่านั้น จำเลยยังมีหนี้ต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองอยู่ ไม่อาจจำหน่ายคดีตามคำร้องของจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,857,546.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,750,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,857,546.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,750,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับตามฟ้องโจทก์ แล้วเมื่อถึงกำหนดชำระเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการสั่งจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 2 สิงหาคม 2560 ว่าคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ 1,750,000 บาท และโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 ตามรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยก่อนคดีถึงที่สุด จึงทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคสอง ประกอบมาตรา 39 (2) จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยจำเลยขอให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีอาญาดังกล่าวมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ที่จำเลยอ้างว่าคดีนี้ย่อมระงับไปด้วยผลข้อเท็จจริงในส่วนคดีอาญาเพราะโจทก์ได้รับเงินครบถ้วนแล้วนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้ และคดีนี้เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ซึ่งศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยจากต้นเงินตามเช็คพิพาทจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้เสร็จแก่โจทก์ การที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวคงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์แล้วเท่านั้น จำเลยยังมีหนี้ต้องชำระแก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองอยู่ ไม่อาจจำหน่ายคดีตามคำร้องของจำเลยได้ และฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบ มิใช่ดังที่จำเลยอ้างในฎีกาว่ามิได้ส่งมอบเช็คพิพาทแก่โจทก์เพื่อชำระหนี้แต่มอบเช็คพิพาทแก่ผู้อื่นเพื่อค้ำประกัน เมื่อจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยวางเงินต่อศาลชั้นต้นวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 จำนวน 1,000,000 บาท วันที่ 5 มิถุนายน 2560 จำนวน 750,000 บาท โจทก์รับเช็คจากศาลชั้นต้นวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 และวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ตามลำดับ จึงให้นำเงิน 1,000,000 บาท และ 750,000 บาท หักชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาและยื่นคำร้องมานั้น ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำเงิน 1,000,000 บาท และ 750,000 บาท หักชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 329 วรรคหนึ่ง ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 และวันที่ 7 มิถุนายน 2560 ตามลำดับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ