คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2272/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดไฟสัญญาวับวาบแล่นนำหน้า เชื่อได้ว่ารถที่จำเลยที่ 1 ขับนั้นแล่นด้วยความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนดและอยู่ในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแซงขบวนรถไปอยู่ที่ไหล่ถนนด้านซ้าย แล้วขับขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิด และด้วยความเร็วสูง โดยไม่ระมัดระวัง เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่เพียงฝ่ายเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยสารพาครูและนักเรียนไปทัศนาจร มีรถร่วมขบวน ๗ คัน โดยมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงวิ่งนำหน้าเปิดสัญญาณตลอดทาง จำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแล่นตามหลัง จำเลยทั้งสองขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยจำเลยที่ ๒ ขับรถแซงเข้าไปในขบวน แล้วไม่หลบเข้าจอดด้านซ้ายมือกลับขับแซงเข้ามาในขบวนอีก จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ให้สัญญาณ และไม่ได้ควบคุมรถด้วยความระมัดระวัง แซงรถจำเลยที่ ๒ ขึ้นไปเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน รถจำเลยที่ ๒ เสียหลักแฉลบพลิกคว่ำข้างถนน จำเลยที่ ๒ กับนายแพทย์วัฒนา พิพัฒน์พันธ์ ได้รับบาดเจ็บ และรถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ ไม่ได้หยุดรถช่วยเหลือ และไม่ได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๗๖, ๗๘,๑๒๗, ๑๔๘, ๑๕๒, ๑๕๗, ๑๖๐ โดยขอให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ขอถอนคำให้การเดิมและให้การรับสารภาพในระหว่างการพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๙๐ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา ลงโทษจำเลยทั้งสองคนละ ๒๐ วัน(ที่ถูกเป็นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๒๐ วัน) และปรับคนละ ๘๐๐บาท จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐานไม่หยุดช่วยเหลือและแจ้งเหตุอีกกระทงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๗๘, ๑๖๐ จำคุกจำเลยที่ ๑มีกำหนด ๑ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ มีความผิดฐานไม่หยุดรถชิดขอบทางตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๗๖, ๑๔๘ อีกกระทงหนึ่งให้ปรับ ๔๐๐ บาท รวมจำคุกจำเลยที่ ๑ กำหนด ๑ เดือน ๒๐ วัน และปรับ๑,๘๐๐ บาท รวมจำคุกจำเลยที่ ๒ กำหนด ๒๐ วันและปรับ ๑,๒๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ กำหนด ๑๐ วันและปรับ ๖๐๐ บาท จำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนให้รอการลงโทษไว้คนละ ๑ ปี ค่าปรับไม่ชำระให้กักขังแทน ข้อหาตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๒๗, ๑๕๒ สำหรับจำเลยที่ ๑ นั้นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางลก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗๘, ๑๖๐ วรรคหนึ่ง ส่วนข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๐ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓, ๑๕๗ ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีว่า จำเลยที่ ๑ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ และนายแพทย์วัฒนาพิพัฒน์พันธ์ บาดเจ็บและรถยนต์ที่จำเลยที่ ๒ ขับเสียหายหรือไม่โจทก์มีนางสดศรี ปั้นทอง ครูโรงเรียนฤทธิณรงค์รอน ซึ่งนั่งไปในรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับ เบิกความได้ความว่ารถที่จำเลยที่ ๑ ขับแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดสัญญาณไฟวับวาบแล่นนำหน้า ตอนชนกันรถที่จำเลยที่ ๒ ขับแล่นอยู่ทางซ้ายมือของรถที่จำเลยที่ ๑ ขับ ซึ่งเกี่ยวกับรถที่จำเลยที่ ๒ ขับนี้จำเลยที่ ๑เบิกความได้ความว่าขณะจะเกิดเหตุรถยนต์ที่จำเลยที่ ๒ ขับแล่นตามหลังรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ ๑ ขับมาประมาณ ๑๐ นาทีเศษแล้วขับแซงรถที่จำเลยที่ ๑ ขับ ซึ่งเป็นคันที่ ๖ ในขบวน ขึ้นไปจนพ้นรถคันที่๔ จากนั้นรถที่จำเลยที่ ๒ ขับได้หลบลงไปแล่นที่ไหล่ทางด้านซ้ายซึ่งทำด้วยลูกรัง รถคันที่ ๔ ที่ ๕ และรถที่จำเลยที่ ๑ ขับซึ่งเป็นรถคันที่ ๖ จึงได้แล่นแซงขึ้นหน้า ขณะนั้นรถที่จำเลยที่ ๑ ขับอยู่ในทางเดินรถด้านซ้าย ศาลฎีกาเห็นว่ารถยนต์โดยสารจำเลยที่ ๑เป็นรถที่ขับแล่นตามกันไปในขบวนซึ่งมีรถวิทยุตำรวจทางหลวงเปิดไฟสัญญาณวับวาบแล่นนำหน้า เชื่อว่ารถที่จำเลยที่ ๑ ขับนั้นแล่นด้วยความเร็วตามอัตราที่กฎหมายกำหนด และอยู่ในช่องทางเดินรถที่ถูกต้องศาลฎีกาตรวจดูแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.๓ และ จ.๖ ที่จำเลยที่๑ และจำเลยที่ ๒ นำชี้ตามลำดับแล้ว ปรากฏสารสำคัญที่ตรงกันประการหนึ่ง คือ รอยเบรกของรถยนต์ที่จำเลยที่ ๒ ขับยาว ๒๔ เมตรเศษ จนตกไปที่ไหล่ถนนอีกฟากหนึ่ง แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความเร็วสูงนอกจากนี้ตัวจำเลยที่ ๒ เองยังเบิกความเจือสมกับพยานโจทก์ตอนหนึ่งว่า จำเลยที่ ๒ ขับรถขึ้นไปบนถนนกระชั้นชิดมาก จำเลยที่ ๒ ไม่ทันสังเกต แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถโดยปราศจากความระมัดระวัง การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถแล่นไปในขบวนด้วยความเร็วตามปกติและในช่องทางเดินรถที่ถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ ๒ ขับรถขึ้นจากไหล่ถนนโดยกระชั้นชิดและด้วยความเร็วสูงโดยไม่ระมัดระวังเช่นนี้ จำเลยที่ ๑ ย่อมไม่อาจคาดหมายหรือให้สัญญาณเพื่อให้ใช้ความระมัดระวังอย่างใดได้ทัน เหตุชนกันจึงมิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ ๑ แต่ถือว่าเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๒ แต่เพียงฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share