คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนหัดขับรถยนต์ยังไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ จำเลยที่ 2 ได้รับใบอนุญาตขับขี่แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นครูฝึกสอนขับรถยนต์ ได้นั่งควบคุมไปด้วย ถนนที่จำเลยหัดขับนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นถนนสำหรับฝึกหัดขับรถยนต์ ในวันเวลาเกิดเหตุถนนตอนนั้นมีผู้คนพลุกพล่านฝนตกถนนลื่น จำเลยที่ 1 ขับจะเฉี่ยวรถสามล้อเครื่องหรือหักหลบรถสามล้อเครื่องไม่พ้น จำเลยที่ 2 ซึ่งนั่งควบคุมไปด้วยต้องเข้าช่วยถือพวงมาลัยและให้จำเลยที่ 1 ปล่อยมือ จำเลยที่ 1 จึงปล่อยมือแต่เท้ายังเหยียบคันเร่งน้ำมันอยู่ จำเลยที่ 2 หักพวงมาลัยเบนขวาเพื่อให้พ้นสามล้อเครื่อง เป็นเหตุให้รถพุ่งข้ามถนนชนต้นไม้และคนถึงบาดเจ็บและตายจึงเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนักเรียนฝึกหัดขับรถยนต์ ยังไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ จำเลยที่ ๒ เป็นช่างเครื่องยนต์ ได้รับใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สาธารณะ แต่มิได้รับใบอนุญาตเป็นครูฝึกสอนขับรถยนต์ วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองได้นำรถยนต์จิ๊บของโรงเรียนสอบขับรถยนต์ออกฝึกหัดขับไปตามท้องถนนหลวง โดยจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขับ จำเลยที่ ๒ ควบคุมการฝึกสอนนั่งไปด้วย จำเลยทั้ง ๒ ได้ร่วมกันกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของจำเลยขับชนคนถึงตายและบาดเจ็บ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐ และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙(๔), ๖๖
จำเลยทั้ง ๒ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ จำคุกคนละ ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปล่อยจำเลยที่ ๑
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๑ เพิ่งมาเรียนหัดขับรถยนต์ ถนนเตชะวณิช ในขณะเกิดเหตุเป็นเวลาที่มีคนพลุกพล่าน ฝนตกถนนลื่น และเป็นถนนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นถนนสำหรับรับฝึกหัดขับรถยนต์ ขณะเกิดเหตุนั้นแม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ ปล่อยพวงมาลัยให้จำเลยที่ ๒ ถือ จำเลยที่ ๒ จึงหักพวงมาลัยไปทางขวาและเกิดเหตุขึ้นก็ดี ก็ปรากฏว่าก่อนนั้นจำเลยที่ ๑ ก็ถือพวงมาลัยขับรถมาด้วยตนเอง ดังปรากฏจากคำให้การของจำเลยที่ ๑ ชั้นสอบสวน ในชั้นศาลจำเลยที่ ๑ ก็ว่าจำเลยที่ ๒ ร้องให้จำเลยที่ ๑ ปล่อยมือ จำเลยที่ ๑ จึงปล่อยมือ แสดงอยู่ว่าในขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถมาในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายอยู่แล้ว จะเฉี่ยวรถสามล้อเครื่องหรือหักหลบรถสามล้อเครื่องไม่พ้น จึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ ซึ่งนั่งดูแลควบคุมอยู่ใกล้ชิดนั้นต้องเข้าช่วยถือพวงมาลัยและปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยที่ ๑ เองอยู่อีกว่า ไม่มีใครร้องเตือนให้ถอนคันเร่งน้ำมัน คงได้ยินเสียงว่าปล่อย จำเลยที่ ๑ จึงปล่อยมือ ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ เหยีบบคันเร่งน้ำมันอยู่ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๑ ยังเหยียบคันเร่งน้ำมันอยู่ทั้ง ๆ ที่ จำเลยที่ ๒ หักพวงมาลัยเบนขวาเพื่อให้พ้นจากรถสามล้อเครื่องซึ่งแล่นอยู่ข้างหน้าและกำลังชะลอเครื่องจะหยุดอยู่ จึงเป็นเหตุให้รถพุ่งข้ามถนนเข้าชนต้นไม้และคนตายและบาดเจ็บ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ ๑ ด้วย ที่เป็นเหตุให้เกิดเหตุตามฟ้อง ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จึงต้องมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ด้วยเหตุที่จำเลยที่ ๑ ยังอยู่ในระหว่างเรียนหัดขับรถยนต์ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ควบคุมของโรงเรียนหัดขับรถยนต์ จึงควรลงโทษจำเลยที่ ๑ เบากว่าจำเลยที่ ๒
พร้อมกันพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ให้วางโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๓ ปี นอกจากที่แก้นี้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

Share