คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5910/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นการสมยอมกัน และจำเลยที่ 2 ทราบอยู่แล้วว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทการที่จำเลยที่ 2 นำหนี้สมยอมดังกล่าวมาฟ้องคดีแพ่งและยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดแล้วประมูลซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดนั้น จึงเป็นการได้มาโดยไม่สุจริต ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 การที่คดีนี้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยที่ศาลชั้นต้นก็มิได้เรียกให้เสียให้ครบถ้วนทั้งเมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาก็มิได้มีคำสั่งประการอื่นใดก็หาทำให้กระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วต้องเสียไปแต่ประการใดไม่กรณีเป็นเรื่องของโจทก์และศาล จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องโต้แย้ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของโจทก์ซึ่งปลูกบ้านอยู่อาศัยในปัจจุบันนี้เดิมนางรอดเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อน แต่ไม่มีหนังสือสำคัญ เมื่อปี 2479 โจทก์ได้แต่งงานอยู่กินกับนายบนหรือบล สระสม บุตรนางรอด นางรอดจึงได้แบ่งที่ดินให้โจทก์กับสามีปลูกเรือนหอคือบ้านเลขที่ 21 หมู่ที่ 2 บนที่ดินพิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 2 งาน ปรากฏตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องแปลง ข ส่วนนางรอดและนางพิมมารดาจำเลยที่ 1 ร่วมกันครอบครองที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องแปลง ก จนกระทั่งนางรอดถึงแก่ความตาย ต่อมาปี 2505 ทางราชการได้ออกสำรวจที่ดินเพื่อเก็บภาษีบำรุงท้องที่ สามีโจทก์ได้แจ้งการครอบครองต่อเจ้าพนักงานผู้ออกสำรวจว่าตนได้ครอบครองที่ดินโดยปลูกบ้านอยู่อาศัยและเจ้าพนักงานยังระบุไว้ว่าที่ดินมี ส.ค.1 เป็นหลักฐานต่อมาปี 2512 สามีโจทก์ได้ถึงแก่ความตาย และปี 2513ทางราชการได้สำรวจที่ดินเพื่อเก็บภาษีบำรุงท้องที่อีก โจทก์จึงเป็นผู้นำชี้เขตเจ้าพนักงานผู้สำรวจได้บันทึกไว้ว่ามีเนื้อที่ 2 งานเป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัยและระบุว่ามี ส.ค.1 เป็นหลักฐานทั้งนี้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบ เปิดเผยอย่างเจ้าของที่แท้จริง ไม่มีผู้ใดมาโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใดซึ่งจำเลยที่ 1 ทราบดีเพราะบ้านอยู่ติดกับโจทก์ เมื่อเดือนพฤษภาคม2535 โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 นำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินพิพาทรวมเข้ากับที่ดินที่จำเลยที่ 1 ครอบครองเพื่อออกเป็น น.ส.3 ก.เลขที่ 161 โดยที่โจทก์มิได้รู้เห็นหรือยินยอมหรือลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตแต่อย่างใด จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินว่าตนครอบครองเต็มแปลงแต่ผู้เดียวจำเลยที่ 1 ได้วางแผนร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นน้องสาวนายพรหรือดาว สมัยสมภพ บุตรเขยจำเลยที่ 1 โดยแกล้งเป็นหนี้จำเลยที่ 2 ยอมให้จำเลยที่ 2 ฟ้องเป็นคดีแพ่งแล้วให้จำเลยที่ 2บังคับคดียึดที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 161 ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ และจำเลยที่ 2 ก็เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินดังกล่าวได้เองในราคาเพียง 32,000 บาท ซึ่งราคาที่แท้จริงประมาณ80,000 บาท ดังนั้น การโอนระหว่างจำเลยที่ 1 ไปยังจำเลยที่ 2 จึงกระทำโดยไม่สุจริตทั้งผู้โอนและผู้รับโอนเพียงเพื่อเปลี่ยนมือให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการขับไล่โจทก์การโอนที่ดินไปเป็นของจำเลยที่ 2 เพิ่งดำเนินการเสร็จเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2536 ขอให้เพิกถอนการออก น.ส.3 ก.เลขที่ 161 และพิพากษาว่านิติกรรมการโอนที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 161 ดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอน น.ส.3 ก.เลขที่ 161 เพราะเจ้าพนักงานได้ออกให้โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 161 เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียวโจทก์และสามีโจทก์เป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น ที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่นางรอดครอบครอง นางรอด ไม่เคยเกี่ยวข้องในที่ดินในฐานะเจ้าของ ที่ดิน น.ส.3 ก.เลขที่ 161 เดิมเป็นของนางแก้ว ต่อมานางแก้วถึงแก่ความตาย ที่ดินจึงตกเป็นของนางพิมหรือทิมซึ่งเป็นบุตรนางแก้วและเป็นมารดาจำเลยที่ 1 ต่อมานางพิมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ดินดังกล่าวเดิมมีหลักฐานเป็น ส.ค.1 เลขที่ 2 หมู่ที่ 2 ตำบลอ่างทอง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี มีชื่อนางพิมเป็นผู้ครอบครองตั้งแต่ปี 2468 ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2521ทางราชการได้ออก น.ส.3 ก. โดยมีเจ้าของที่ดินข้างเคียงลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดิน โจทก์ไม่เคยคัดค้าน การออกน.ส.3 ก. ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้ออกทับที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินน.ส.3 ก. เลขที่ 161 ที่โอนมาเป็นของจำเลยที่ 2 ให้เป็นโมฆะเพราะนิติกรรมการโอนมิได้กระทำโดยจำเลยที่ 1 โอนให้แก่จำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ได้สิทธิในที่ดินจากการโอนตามคำสั่งศาลอันเนื่องมาจากการขายทอดตลาดโดยชอบด้วยกฎหมายหากโจทก์เห็นว่าที่ดินดังกล่าวบางส่วนเป็นของโจทก์หรือโจทก์มีส่วนได้เสียในที่ดิน โจทก์ก็สามารถใช้สิทธิทางศาลในคดีเดิมโดยยื่นคำร้องต่อศาลว่าที่ดินเป็นของตนบางส่วน หรือหากโจทก์เห็นว่าเจ้าพนักงานบังคับคดียึดหรือขายทอดตลาดโดยฝ่าฝืนกฎหมายก็สามารถยื่นคำร้องคัดค้านการดำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ การที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิที่มีตามกฎหมายเท่ากับเป็นการขยายระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ การที่จำเลยที่ 2ฟ้องร้องและบังคับคดียึดที่ดินออกขายทอดตลาดก็เป็นการใช้สิทธิโดยสุจริตเพราะจำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 2 หาได้เป็นหนี้สมยอมตามที่โจทก์กล่าวอ้างไม่ โจทก์มาฟ้องคดีนี้เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ประสงค์จะให้โจทก์อยู่ในที่ดินต่อไป ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ 21 ออกจากที่ดินของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 500 บาท จนกว่าโจทก์จะรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของจำเลยที่ 2
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โจทก์โดยให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ 21 ออกจากที่ดินพิพาท ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2เดือนละ 100 บาท นับแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกจากที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการออกน.ส.3 ก. เลขที่ 161 หมู่ที่ 2 ตำบลอ่างทอง อำเภอเมืองราชบุรีจังหวัดราชบุรี และให้นิติกรรมการโอนที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 161 ดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เฉพาะส่วนที่ดินพิพาทเป็นโมฆะ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุผลสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 161ตำบลอ่างทอง อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี มีชื่อจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของทางด้านทิศใต้ของที่ดินพิพาทมีบ้านเลขที่ 21ซึ่งเป็นบ้านโจทก์ปลูกอยู่ ส่วนบ้านจำเลยที่ 1 เลขที่ 22 ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินพิพาท ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1เป็นคดีแพ่งมีการบังคับคดีโดยยึดที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 161ทั้งแปลงออกขายทอดตลาดโดยจำเลยที่ 2 ประมูลซื้อได้คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินพิพาทโดยชอบหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า โจทก์และสามีโจทก์ได้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโดยใช้เป็นเรือนหอของโจทก์และสามีโจทก์มาตั้งแต่ปี 2479โดยได้รับการยกให้จากนางรอดมารดา สามีโจทก์นางพิมหรือทิมมารดาจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองเอกสารหมาย ล.3เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2498 โดยแจ้งว่ารับมรดกจากนางแก้วดังนั้น ขณะที่มีการแจ้งการครอบครองที่ดินมรดกของนางแก้วนั้นบ้านโจทก์ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทแล้วนายสังเวียน ยอดยิ่ง พยานจำเลยเบิกความว่า เมื่อนางแก้วถึงแก่ความตาย นางพิมหรือทิมและนางรอดได้เข้าครอบครองที่ดินของนางแก้วร่วมกันกรณีจึงเจือสมกับพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ปลูกบ้านบนที่ดินพิพาทโดยนางรอดมารดาสามีโจทก์ยกที่ดินส่วนนี้ให้ ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 160 และน.ส.3 ก. เลขที่ 161 ได้ดำเนินการออกในวันเดียวกันทั้งในแบบบันทึกสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เอกสารหมายล.2 นางดวงจันทร์ บิดาทอง ก็ได้ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้วยโจทก์จะมาฟ้องขอเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยอ้างว่าไม่ทราบการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไม่ได้นั้น เห็นว่าในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยที่ 1 และนางดวงจันทร์ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ได้ทำบันทึกสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ ตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.8พร้อมกันและ น.ส.3 ก. เลขที่ 160 และ น.ส.3 ก. เลขที่ 161ก็ออกในวันเดียวกันคือวันที่ 1 สิงหาคม 2521 ตาม น.ส.3 ก.เอกสารหมาย ล.1 และ ล.4 แต่ปรากฏตามแบบบันทึกสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เอกสารหมาย ล.8 และ ล.2 ว่าที่ดินของนางดวงจันทร์เป็นที่ดินเลขที่ 5 ส่วนที่ดินของจำเลยที่ 1เป็นที่ดินเลขที่ 2 และที่ดินทั้งสองแปลงมีแนวเขตติดต่อกัน การที่นางดวงจันทร์ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตในฐานะเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียง จึงเป็นเรื่องระหว่างนางดวงจันทร์กับของจำเลยที่ 1 เท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่ เมื่อโจทก์ไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการออก น.ส.3 ก. เลขที่ 161 ซึ่งรวมเอาที่ดินพิพาทที่โจทก์ครอบครองไว้ด้วยจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนได้
ปัญหาประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 2 มีว่า จำเลยที่ 2ซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่ ในประเด็นนี้เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่าหนี้เงินกู้ระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เกิดจากการสมยอมกันหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเชื่อว่า จำเลยที่ 1อาศัยความเกี่ยวพันทางพี่ชายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรเขยจำเลยที่ 1ขอให้จำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้สมยอมกันเพื่อบังคับเอากับที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยที่ 1 เคยให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกไป เมื่อโจทก์ไม่ยอมออกไป จำเลยที่ 2ซึ่งย่อมจะทราบถึงสิทธิของโจทก์ที่มีต่อที่ดินพิพาทได้ให้ทนายความคนเดียวกับทนายความของจำเลยที่ 1 ฟ้องจำเลยที่ 1ให้ชำระหนี้ กรณีจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า การกู้ยืมเงินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เป็นการสมยอมกันและจำเลยที่ 2 ทราบอยู่แล้วว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทการที่จำเลยที่ 2 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดจึงเป็นการได้มาโดยไม่สุจริต ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330
อนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540ว่าคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาชั้นศาลละ50,000 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลมาอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์และยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง การที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาและพิพากษานั้นเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ถูกต้องและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าการที่คดีนี้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้องครบถ้วนโดยที่ศาลชั้นต้นก็มิได้เรียกให้เสียให้ครบถ้วนทั้งเมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกา ศาลฎีกาก็มิได้มีคำสั่งประการอื่นใดก็หาทำให้กระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาแล้วต้องเสียไปแต่ประการใดไม่กรณีเป็นเรื่องของโจทก์และศาล จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องโต้แย้ง
พิพากษายืน

Share