คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5900/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พ. ลงชื่อเป็นโจทก์และผู้เรียงพิมพ์ในคำฟ้อง โดยไม่ได้รับมอบอำนาจจาก ม. ซึ่งเป็นโจทก์ให้ดำเนินคดีแทน และมิได้ตั้งพ. ให้เป็นทนายความแต่อย่างใด ม. เป็นผู้ตั้งตนเองเป็นทนายความและว่าความในการสืบพยานจำเลย ส่วน พ. ว่าความในการสืบพยานโจทก์ 2 ปากเท่านั้น ต่อมา พ. ลงชื่อในคำฟ้องอุทธรณ์ในฐานะผู้อุทธรณ์และผู้เรียงพิมพ์อีก โดยมิได้รับมอบอำนาจหรือตั้งแต่งให้เป็นทนายความอีกเช่นเดียวกัน จึงเป็นการฟ้องคดีแทนม. โดยปราศจากอำนาจฟ้อง ฟ้องดังกล่าวเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 67(5)กรณีมิใช่เป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถหรือบกพร่องเกี่ยวด้วยการเขียนคำคู่ความอันจะสั่งให้แก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องที่ผิดระเบียบได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ดังนั้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ตั้งแต่ง พ.เป็นทนายความให้ถูกต้องและให้พ. ลงชื่อในฟ้องจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนขายเทปเพลงของโจทก์ เมื่อจำเลยเก็บเงินค่าสินค้าจากลูกค้าได้แล้วไม่ชำระแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 274,695 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าสินค้าในฐานะผู้ซื้อมิใช่เป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยที่ 2 ลงชื่อค้ำประกันโดยถูกข่มขู่หลอกลวง และได้บอกล้างแล้ว คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน204,224 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าคดีนี้นายพิทยา เพชรพลอย ลงชื่อเป็นโจทก์และผู้เรียงพิมพ์ในคำร้อง โดยนายมงคล จิริยะสิน ซึ่งถูกระบุชื่อเป็นโจทก์ในหน้าแรกของคำฟ้องในคดีนี้มิได้มอบอำนาจให้นายพิทยาเป็นผู้ฟ้องคดีแทน และมิได้ตั้งแต่งให้เป็นทนายความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณา แต่นายมงคลตั้งตนเองเป็นทนายความและว่าความในการสืบพยานจำเลย ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนนายพิทยาได้มาว่าความในการสืบพยานโจทก์เพียง 2 ปาก ในการอุทธรณ์นายพิทยาลงชื่อในฐานะผู้อุทธรณ์และผู้เรียงพิมพ์ โดยมิได้รับมอบอำนาจหรือตั้งแต่งให้เป็นทนายความอีกเช่นกัน นายพิทยาซึ่งฟ้องคดีแทนโจทก์โดยปราศจากอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 67(5) และกรณีไม่ใช่เป็นข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถหรือบกพร่องเกี่ยวด้วยการเขียนคำคู่ความ ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้แก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องที่ผิดระเบียบนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เห็นสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์ตั้งแต่งนายพิทยาเป็นทนายความให้ถูกต้อง และให้นายพิทยาลงชื่อในฟ้องแล้วจึงให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังต่อไป นั้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาและปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้ออื่น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share