แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญา ได้พบเห็น ส. กับพวกเล่นการพนันชนไก่อันเป็นความผิดอาญา จำเลยมีหน้าที่ต้องทำการจับกุมผู้กระทำความผิด แต่กลับไม่ทำการจับกุมและเรียกรับเงินจำนวน 1,500 บาท จาก ส. เพื่อจะไม่จับกุมตามหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2540 เวลากลางวัน จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ตรวจพบนายสมาน แสงกล้า นายบุญสอนหรือสอน หมุ่ยศรี กับพวกร่วมกันเล่นการพนันชนไก่ พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน อันเป็นการพบการการกระทำความผิดซึ่งหน้า ซึ่งจำเลยต้องจับกุมนายสมานกับพวกดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวนตามอำนาจหน้าที่เจ้าพนักงานตำรวจ แต่จำเลยไม่จับกุม กลับเรียกและรับเงิน 1,500 บาท จากนายสมานโดยมิชอบเพื่อไม่จับกุมนายสมานกับพวกดังกล่าวและให้เล่นการพนันชนไก่ต่อไปได้ อันเป็นการกระทำหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายสมาน นายบุญสอน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149, 157, 90 และนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 124/2548 ที่ 125/2548 และที่ 318/2548 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ลงโทษจำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่น ตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้ต้องหากระทำความผิดอาญา เดินทางไปที่เกิดเหตุพบนายสาน แสงกล้า และพวกชาวบ้านกำลังจะเล่นการพนันชนไก่เอาทรัพย์สินกัน จำเลยจึงเข้าไปพูดคุยกับนายสมาน ต่อมาในวันเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่นได้เข้ามาทำการจับกุมนายบุญสอนหรือสอน หมุ่ยศรี กับพวกรวม 19 คน ซึ่งเล่นการพนันชนไก่อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นนายสมานร้องเรียนจำเลยกล่าวหาว่าจำเลยเรียกและรับเงิน 1,500 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีนายสมานและนายบุญสอนมาเบิกความเป็นพยาน นายสมานเบิกความว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะที่พยาน นายบุญสอนและพวกชาวบ้านประมาณ 30 คน กำลังจะเล่นการพนันชนไก่เอาทรัพย์สินกันโดยเอาไก่ชนมาเปรียบกันได้มีเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่น จำชื่อและนามสกุลไม่ได้เข้ามาห้ามไม่ให้ชนไก่เพราะไม่ได้รับอนุญาตห้ามแล้วเจ้าพนักงานตำรวจก็กลับไป จากนั้นสักครู่หนึ่งจำเลยได้มาพบกับพยานซึ่งยืนอยู่ใกล้กับนายบุญสอนแล้วจำเลยบอกพยานว่าถ้าหากพยานกับพวกจะเล่นการพนันชนไก่กันต่อไปก็ให้นำเงินจำนวน 1,500 บาทมาให้จำเลย จำเลยจะเอาไปให้นายและจำเลยจะให้เล่นการพนันชนไก่กันต่อไปได้ พยานตกลงจะให้เงินแก่จำเลย แต่ขณะนั้นไม่มีเงิน จึงไปขอยืมเงินจากนายบุญสอนมามอบให้จำเลย จำเลยรับเงินไปแล้วก็ออกไป ส่วนพยานกับพวกได้เล่นการพนันชนไก่กันไปจนกระทั่งเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จึงมีเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่นเข้ามาจับกุมพยานกับพวกแต่พยานหลบหนีไปได้ ส่วนนายบุญสอนเบิกความว่า หลังจากมีเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาห้ามพยานกับพวกชาวบ้านไม่ให้เล่นการพนันชนไก่แล้ว พยานกับพวกก็จะเลิกชนไก่ แต่มีจำเลยเข้ามายังที่เกิดเหตุและเดินเข้าไปพูดคุยกับนายสมานซึ่งอยู่ห่างจากพยานประมาณ 2 ถึง 3 เมตร แต่พยานไม่ได้ยินว่าพูดคุยอะไรกัน ต่อมาสักครู่หนึ่งนายสมานได้เดินมาหาพยานและพูดขอยืมเงิน 1,500 บาท จากพยานโจทก์บอกว่าจะเอาไปให้จำเลยแล้วจำเลยจะให้เล่นการพนันชนไก่กันต่อไป พยานจึงให้เงินเป็นธนบัตรฉบับละ 100 บาท จำนวน 15 ฉบับ แก่นายสมาน นายสมานเดินกลับไปหาจำเลยและมอบเงินดังกล่าวให้แก่จำเลย ต่อจากนั้นพยานกับพวกได้เล่นการพนันชนไก่กันต่อจนถึงเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความยืนยันเหตุการณ์ตั้งแต่แรกก่อนที่จำเลยจะเข้ามายังที่เกิดเหตุ เหตุการณ์ตอนที่จำเลยเข้ามาพูดคุยกันนายสมานแล้วนายสมานไปขอยืมเงินจากนายบุญสอนนำไปมอบให้จำเลย รวมทั้งเหตุการณ์ภายหลังจากจำเลยรับเงินไปแล้วจนถึงตอนที่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามาจับกุมได้สอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ แม้จะมีข้อแตกต่างกันไปบ้างเกี่ยวกับระยะห่างระหว่างจุดที่นายสมานพูดคุยกับจำเลยกับบริเวณที่เล่นการพนันชนไก่ ซึ่งนายสมานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ห่างกันประมาณ 11 ถึง 12 เมตร แต่นายบุญสอนเบิกความว่าห่างกันประมาณ 2 ถึง 3 เมตร หรือในข้อที่ว่าก่อนเกิดเหตุที่หมู่บ้านของพยานทั้งสองเคยจัดให้มีการพนันชนไก่มาก่อนหรือไม่ โดยนายสมานเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ไม่เคยจัดให้มีการพนันชนไก่ แต่นายบุญสอนเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ที่หมู่บ้านเคยจัดให้มีการพนันชนไก่โดยขออนุญาต รวมทั้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวจำเลยที่ว่าก่อนที่จำเลยจะเข้ามาพูดเรียกร้องเอาเงินจากนายสมาน จำเลยได้เข้ามาอยู่ในที่เกิดเหตุก่อนแล้วหรือไม่ ซึ่งนายสมานเบิกความว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจคนแรกที่เข้ามาห้ามไม่ให้เล่นการพนันชนไก่กลับไปแล้ว จำเลยจึงเข้ามาในที่เกิดเหตุพูดเรียกร้องเอาเงินจากนายสมาน แต่ตามบันทึกคำให้การของนายสมานเอกสารหมาย จ.7 นายสมานให้การแตกต่างไปว่า ในขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่นซึ่งไม่ทราบชื่อเข้ามาบอกให้เลิกชนไก่ หากไม่เลิกจะจับกุมนั้น จำเลยซึ่งยืนอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 ถึง 4 เมตร ได้เดินเข้ามาหานายสมานและพูดเรียกร้องเอาเงินจากนายสมานดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย มิใช่ข้อสาระสำคัญ อีกทั้งคดีนี้จำเลยก็นำสืบรับว่า จำเลยได้มายังที่เกิดเหตุและได้เข้าไปพูดคุยกับนายสมานพยานโจทก์จริงอันเป็นข้อเจือสมพยานโจทก์ ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่มีผลถึงกับจะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองขาดน้ำหนักที่จะรับฟัง ประกอบกับพยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยให้ได้รับโทษโดยปราศจากมูลความจริง พยานหลักฐานของโจทก์ดังวินิจฉัยมามีน้ำหนักมั่นคง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า สาเหตุที่จำเลยถูกร้องเรียนจนถูกดำเนินเป็นคดีนี้เป็นเพราะนายสมานทราบว่าจำเลยเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมนายสมานกับพวกที่เล่นการพนันชนไก่ นายสมานกับพวกจึงโกรธแค้นจำเลยและไปร้องเรียนกล่าวหาว่าจำเลยเรียกเงิน 1,500 บาท นั้น เห็นว่า ข้อนำสืบต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างที่เลื่อนลอย ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ว่านายสมานโกรธแค้นที่จำเลยเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมนายสมานกับพวกก็ปรากฏว่านายสมานไม่ได้ถูกจับกุมด้วย ผู้ที่จะโกรธแค้นจำเลยจึงน่าจะเป็นผู้เล่นพนันที่ถูกจับกุมมากกว่า อีกทั้งสาเหตุที่นายสมานกับพวกเล่นการพนันชนไก่แล้วถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา แม้ผู้ถูกจับกุมจะมีความโกรธแค้นที่ถูกจับอยู่บ้างก็หาใช่เป็นสาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่นายสมานจะต้องปั้นแต่งเรื่องเท็จขึ้นเพื่อกลั่นแกล้งจำเลยซึ่งเป็นการเสี่ยงต่อการที่ตนเองจะถูกดำเนินคดี พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยซึ่งในขณะเกิดเหตุเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอน้ำขุ่น ตำแหน่งผู้บังคับหมู่ งานป้องกันและปราบปราม มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้ต้องหากระทำความผิดอาญา ได้พบเห้นนายสมานกับพวกเล่นการพนันชนไก่อันเป็นความผิดอาญา จำเลยมีหน้าที่ต้องทำการจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว แต่จำเลยกลับไม่ทำการจับกุมและเรียกรับเงินจำนวน 1,500 บาท จากนายสมานเพื่อจะไม่จับกุมนายสมานกับพวกตามหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินสำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น