คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190 นั้นจะต้องมีเจตนาหลบหนีด้วย ฉะนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นนักโทษต้องคุมขังตามอำนาจของศาลป่วยเป็นโรคประสาท ได้รับอนุญาตจากพัศดีให้ไปรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนอกเรือนจำโดยมีผู้คุมไปด้วย แม้ขณะกลับเรือนจำจะไม่มีผู้คุมควบคุมตัวจำเลยก็ตาม จำเลยก็ยังหามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนักโทษต้องคุมขังตามอำนาจของศาล ได้บังอาจหลบหนีไปจากที่คุมขังเรือนจำ ก่อนคดีนี้ จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ๕ ปี ๖ เดือน ฐานปล้นทรัพย์ และยังต้องรับโทษอยู่ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๐,๙๒
จำเลยให้การปฏิเสธ ส่วนข้อต้องคำพิพากษาให้ลงโทษนั้นรับ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยป่วยเป็นโรคประสาทอย่างแรง ได้รับอนุญาตจากพัศดีเรือนจำให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลนอกเรือนจำ โดยมีผู้คุมเรือนจำคุมไปด้วย ตำรวจจับจำเลยขณะขี่รถจักรยานมุ่งหน้ามาทางเรือนจำ โดยไม่มีผู้คุมอยู่ในขณะนั้น จึงฟังว่าจำเลยไม่ได้หลบหนี ศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๐ นั้น จำเลยจะต้องเจตนาหลบหนีด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาหลบหนี แม้ในขณะจับกุมจะไม่มีผู้คุมควบคุมตัวจำเลยอยู่ ก็ยังเอาผิดกับจำเลยตามฟ้องไม่ได้
พิพากษายืน

Share