คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5897/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยทั้งสองจะจ้างโจทก์ทำเพลทแม่พิมพ์หลายครั้งแต่ในการจ้างแต่ละครั้งสามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้น หนี้ค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่เกี่ยวกับการว่าจ้างครั้งที่ 4 และไม่เป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์เกี่ยวด้วยเพลทแม่พิมพ์ตามสัญญาจ้างครั้งที่ 4 ที่โจทก์ยึดถือไว้ ทั้งหนี้ค่าจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งที่ 4 ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเนื่องจากโจทก์ให้เครดิตแก่จำเลยทั้งสองเป็นเวลา 90 วัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 415,361 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินจำนวน 584,320 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2539 ซึ่งเป็นวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 29 พฤศจิกายน 2539) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อประมาณเดือนมีนาคม 2539 ถึงเดือนสิงหาคม 2539 จำเลยที่ 1ว่าจ้างโจทก์ทำเพลทแม่พิมพ์ 4 ครั้ง เพื่อนำไปจัดพิมพ์หนังสือไฮสคูลจำหน่ายให้แก่ลูกค้า โดยโจทก์ให้เครดิตในการชำระค่าจ้างเป็นเวลา90 วัน โจทก์ส่งเพลทแม่พิมพ์ให้จำเลยที่ 1 แล้ว 3 ครั้ง และจำเลยที่ 1ได้นำไปพิมพ์หนังสือไฮสคูลฉบับที่ 3 ถึงที่ 5 ออกจำหน่ายแล้วแต่จำเลยทั้งสองยังไม่ได้ชำระค่าจ้างทำเพลทแม่พิมพ์หนังสือไฮสคูลฉบับที่ 3 ถึงที่ 5 ให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 29 สิงหาคม 2539 โจทก์ส่งมอบเพลทแม่พิมพ์หนังสือไฮสคูลฉบับที่ 6 ตามสัญญาครั้งที่ 4 ให้แก่จำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองอ้างว่ายังบกพร่องได้ส่งคืนให้โจทก์ทำการแก้ไข แต่เมื่อโจทก์แก้ไขแล้วได้ยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวไว้ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจนำเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวไปจัดพิมพ์หนังสือฉบับที่ 6ออกจำหน่ายได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งที่ 4 ที่โจทก์นำสืบอ้างว่าจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งก่อน ๆโจทก์จึงมีสิทธิที่จะยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์ตามสัญญาครั้งที่ 4 ได้ นั้นเห็นว่า แม้จำเลยทั้งสองจะจ้างโจทก์ทำเพลทแม่พิมพ์หลายครั้ง แต่ในการจ้างแต่ละครั้งสามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้น หนี้ค่าจ้างตามสัญญาจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่เกี่ยวกับการว่าจ้างครั้งที่ 4 และไม่เป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์เกี่ยวด้วยเพลทแม่พิมพ์ตามสัญญาจ้างครั้งที่ 4 ที่โจทก์ยึดถือไว้ ทั้งหนี้ค่าจ้างทำเพลทแม่พิมพ์ครั้งที่ 4 ก็ยังไม่ถึงกำหนดชำระเนื่องจากโจทก์ให้เครดิตแก่จำเลยทั้งสองเป็นเวลา 90 วัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่า ขณะส่งมอบเพลทแม่พิมพ์ตามสัญญาจ้างครั้งที่ 4จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์โดยให้แก้ไขตลอดเวลาเท่ากับจำเลยทั้งสองประพฤติผิดสัญญาโจทก์จึงยึดถือเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวไว้โดยถือเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยายนั้น เห็นว่าทางพิจารณาโจทก์นำสืบเพียงว่าจำเลยทั้งสองไม่ยอมชำระหนี้ที่ค้างโจทก์จึงไม่คืนเพลทแม่พิมพ์ดังกล่าวให้เท่านั้น หาได้นำสืบว่าจำเลยทั้งสองกลั่นแกล้งให้โจทก์แก้ไขเพลทแม่พิมพ์แต่อย่างใดไม่ ทั้งปรากฏว่าหลังจากโจทก์ไม่ยอมมอบเพลทแม่พิมพ์คืนจำเลยทั้งสองแล้ว ยังได้มีการเจรจาเกี่ยวกับหนี้ที่ค้างชำระกันอีกแต่ตกลงกันไม่ได้เนื่องจากโจทก์จะให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ทั้งหมดก่อน แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม จะขอชำระเฉพาะหนี้ที่ถึงกำหนด ข้ออ้างของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์ตามสัญญาจ้างครั้งที่ 4 การที่โจทก์ยึดเพลทแม่พิมพ์ไว้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาตามฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายที่โจทก์อ้างว่า พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองมีเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ของนายภูสิตนวลประดิษฐ์ จำเลยที่ 2 จึงรับฟังไม่ได้นั้น สำหรับค่าขาดรายได้จากการขายหนังสือแม้จำเลยทั้งสองจะมีเพียงตัวจำเลยที่ 2 มาเบิกความว่าในการพิมพ์หนังสือออกจำหน่ายแต่ละครั้ง จะพิมพ์ออกวางตลาดประมาณเดือนละ 5,000 เล่ม ราคาเล่มละ 68 บาท จะมีรายได้เมื่อหักต้นทุนแล้วประมาณ 120,000 บาท โดยไม่มีหลักฐานอื่นมาแสดง ก็ปรากฏว่าหนังสือของจำเลยทั้งสองได้พิมพ์ออกวางจำหน่ายในท้องตลาดมาแล้วถึง 5 ฉบับย่อมแสดงให้เห็นว่ามีผู้นิยมอ่านพอสมควร ประกอบกับค่าจ้างทำเพลทแม่พิมพ์หนังสือฉบับนี้มีราคาสูงถึง 99,000 บาท หากพิมพ์ออกจำหน่ายได้น้อยย่อมไม่คุ้มกับการลงทุนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ มิใช่การกล่าวอ้างลอย ๆ ดังที่โจทก์อ้าง ทั้งการที่โจทก์ยึดหน่วงเพลทแม่พิมพ์จนทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถพิมพ์หนังสือออกจำหน่ายย่อมทำให้จำเลยทั้งสองเสียหายอยู่ในตัว ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายในส่วนนี้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน50,000 บาท จึงเหมาะสมแล้ว ส่วนค่าขาดรายได้จากลูกค้าจ้างลงโฆษณาที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้เป็นเงิน 180,000 บาท นั้น จำเลยทั้งสองมีหลักฐานสัญญาจ้างโฆษณา เอกสารหมาย ล.9 มาแสดง แม้บางฉบับจะคาบเกี่ยวกับสัญญาจ้างโฆษณาในหนังสือฉบับก่อนก็ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ทั้งในหนังสือฉบับที่ 1 ถึงที่ 5 ที่จำเลยทั้งสองพิมพ์ออกจำหน่ายก็ปรากฏว่ามีการลงโฆษณามากพอสมควร โจทก์เองก็ไม่ได้นำสืบโต้แย้ง แม้จำเลยทั้งสองไม่นำตัวบุคคลในเอกสารดังกล่าวมาเบิกความยืนยันก็รับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ ค่าเสียหายทั้งหมดที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชดใช้แก่จำเลยทั้งสองเหมาะสมแล้วฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share