คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โรงเรือนซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดิน ผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 109 หรือ 1312 โจทก์ซื้อที่ดินซึ่งมีบ้านพิพาทปลูกอยู่ บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบของที่ดินและตก เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 107 วรรคสอง โดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้โจทก์อีกเมื่อโจทก์ครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นของตนเอง กรณีไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทของโจทก์ ดังนี้โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 91786 จากจำเลยที่ 1 ซึ่งรวมถึงสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 33/1178 บนที่ดินด้วย แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของบ้าน โจทก์ทั้งสองจึงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และซื้อบ้านจากจำเลยที่ 2 แต่เพื่อความสะดวกจำเลยที่ 1 บอกโจทก์ทั้งสองว่าให้ทำสัญญาซื้อขายเฉพาะที่ดินโดยไม่มีบ้านบ้านไม่ต้องทำสัญญาซื้อขาย แล้วจำเลยที่ 1 จะนำราคาค่าบ้านไปชำระแก่จำเลยที่ 2 เอง โจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองบ้านดังกล่าวโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2520ตลอดมาถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 11 ปีแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้นำที่ดินและบ้านดังกล่าวไปจำนองธนาคารเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ แต่ธนาคารรับจำนองเฉพาะที่ดิน โดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีหลักฐานอะไรแสดงว่ามีกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวโจทก์ได้พยายามติดต่อกับจำเลยทั้งสองเพื่อให้นำหลักฐานไปยืนยันต่อทางธนาคารว่าโจทก์ทั้งสองได้ซื้อและเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้แต่ติดต่อไม่ได้ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าบ้านเลขที่ 33/1178 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า แม้โจทก์จะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 ซื้อบ้านจากจำเลยที่ 2 แต่บ้านปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ปลูกในที่ดินของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 ไม่รับคำฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 33/1178หมู่ 10 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จากจำเลยทั้งสองแต่ในหนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่า ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง เห็นว่าตามธรรมดาโรงเรือน ซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดินผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 หรือ 1312ดังนี้ บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบของที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสอง โดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้โจทก์ทั้งสองอีก เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นของตนเองเช่นนี้ จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องนั้นชอบแล้ว…”
พิพากษายืน.

Share