คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยทั้งสอง แต่ในหนังสือขายที่ดินระบุว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้ บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง โดยไม่จำต้องจดทะเบียนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อีก เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นของตนเองเช่นนี้ จึงไม่เป็นครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใดโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งรวมถึงสิ่งปลูกสร้างคือบ้านบนที่ดินด้วยแต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดิน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของบ้าน โจทก์ทั้งสองจึงซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 และซื้อบ้านจากจำเลยที่ 2 แต่เพื่อความสะดวกจำเลยที่ 1 บอกโจทก์ทั้งสองว่าให้ทำสัญญาซื้อขายเฉพาะที่ดินโดยไม่มีบ้าน บ้านไม่ต้องทำสัญญาซื้อขายแล้วจำเลยที่ 1 จะนำราคาค่าบ้านไปชำระแก่จำเลยที่ 2 เองซึ่งในทางการค้าจำเลยทั้งสองปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ตลอดมา โจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองบ้านดังกล่าวโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2520 ตลอดมาถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 11 ปีแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์ทั้งสองได้นำที่ดินและบ้านดังกล่าวไปจำนองธนาคารเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้แต่ธนาคารรับจำนองเฉพาะที่ดินโดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีหลักฐานอะไรแสดงว่ามีกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าว โจทก์ได้พยายามติดต่อกับจำเลยทั้งสองเพื่อให้นำหลักฐานไปยืนยันต่อทางธนาคารว่าโจทก์ทั้งสองได้ซื้อและเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ แต่ติดต่อไม่ได้ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า แม้โจทก์จะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 ซื้อบ้านจากจำเลยที่ 2 แต่บ้านปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านที่ปลูกในที่ดินของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 ไม่รับคำฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 33/1178หมู่ 10 แขวงลาดพร้าว เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จากจำเลยทั้งสองแต่ในหนังสือสัญญาขายที่ดินระบุว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง เห็นว่าตามธรรมดาโรงเรือนซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดินผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 หรือ 1312ดังนี้ บ้านพิพาทจึงเป็นส่วนควบของที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสองโดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้โจทก์ทั้งสองอีก เมื่อโจทก์ทั้งสองครอบครองบ้านพิพาทซึ่งเป็นของตนเอง เช่นนี้ จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งสิทธิในบ้านพิพาทของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใดโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รับคำฟ้องนั้น ชอบแล้วฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share