คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านและที่ดิน อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยให้การยอมรับว่าจำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ แต่อ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ได้ เพราะโจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันในการผลิตไม้ปาเก้ออกจำหน่ายเพื่อแบ่งผลกำไร และขณะนี้ห้างหุ้นส่วนยังไม่เลิกกัน ดังนี้จำเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยว่าตนมีสิทธิอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ได้ซึ่งถ้าเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้ จำเลยก็ชนะคดี หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนี้จึงตกแก่จำเลย เมื่อคู่ความท้ากันว่าหน้าที่นำสืบตกฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นแพ้คดี โดยคู่ความไม่สืบพยาน จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 16184 เนื้อที่ 98 ตารางวาและบ้านเลขที่ 113/1 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2517 โจทก์ทดลองผลิตไม้ปาเก้ที่บ้านโจทก์โดยจ้างจำเลยเป็นลูกจ้างและให้อยู่อาศัยในบ้านดังกล่าว เดือนเมษายน 2517 โจทก์เลิกผลิตไม้ปาเก้และเลิกจ้างจำเลยให้จำเลยออกจากบ้าน จำเลยไม่ออก ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 1พฤษภาคม 2517 จนกว่าจะออก

จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงเข้าหุ้นส่วนผลิตไม้ปาเก้จำหน่ายแบ่งผลกำไรกัน โดยโจทก์ลงทุนที่ดินและบ้าน จำเลยลงทุนแรงงาน โจทก์ได้รับส่วนแบ่งกำไร 2 ส่วน จำเลยได้ 1 ส่วน และจำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนเมื่อเดือนมกราคม 2517 จำเลยได้ออกเงินทดรองเป็นค่าลาดซีเมนต์ใต้ถุนโรงงานฯ จำเลยจัดการขายไม้ปาเก้ 2 ครั้ง โจทก์ขาย 1 ครั้ง เงินยังอยู่ที่โจทก์ปลายเดือนพฤษภาคม 2517 โจทก์จะจัดวิธีแบ่งผลกำไรเสียใหม่ จำเลยไม่ตกลงโจทก์เลยขนอุปกรณ์การผลิตไม้ปาเก้ไป ไม่ยอมคิดบัญชีเลิกห้างหุ้นส่วน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อหนึ่งว่า จำเลยมีสิทธิอยู่ในที่พิพาทเพียงใดหรือไม่

วันนัดพิจารณาคู่ความไม่ขอสืบพยาน โดยท้ากันว่า ตามฟ้องและคำให้การหน้าที่นำสืบตามประเด็นดังกล่าว ตกแก่ฝ่ายใด ถ้าตกโจทก์ขอให้ยกฟ้อง ถ้าตกจำเลย จำเลยและบริวารยอมออกจากเรือนพิพาทใน 3 วัน และชำระค่าเสียหายให้โจทก์ 350 บาทต่อเดือน นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2517

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องนำสืบตามข้อต่อสู้ เมื่อจำเลยไม่สืบจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่พิพาทภายใน1 เดือนนับแต่วันศาลพิพากษา

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์ให้จำเลยอาศัยในบ้านและที่ดินของโจทก์ บัดนี้โจทก์บอกเลิกการให้อาศัย จำเลยยังขืนอยู่ เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยให้การยอมรับว่าจำเลยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์แต่มีสิทธิอยู่ได้เพราะโจทก์ จำเลยเป็นหุ้นส่วนกันในการผลิตไม้ปาเก้จำหน่ายเพื่อแบ่งผลกำไร ขณะนี้ห้างหุ้นส่วนก็ยังไม่เลิกกัน ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่จำเลยให้การอ้างว่าจำเลยมีสิทธิอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ได้ดังกล่าว เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นใหม่ เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของจำเลยว่าตนมีสิทธิอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ได้ ซึ่งถ้าเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้จำเลยก็ชนะคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆเพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตน หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นย่อมตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง ฉะนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวเมื่อจำเลยไม่สืบ จำเลยจึงต้องแพ้คดีไปตามคำท้า

พิพากษายืน

Share