แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยและ ฉ. พวกจำเลยซึ่งใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมมาก่อน การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับ ฉ. แล้วถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง 1 นัด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยจำเลยไม่อาจคาดคิด การที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยมิได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับ ฉ. ด้วย แม้ ฉ. กับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกันแล้ว ฉ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2542 เวลากลางคืนหลังเที่ยง นายเฉลิมชัยหรือหมู มีพร้อม พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสมบัติ พูลประสาท ผู้เสียหาย 1 นัด ถูกบริเวณหน้าท้องโดยมีเจตนาฆ่า นายเฉลิมชัยลงมือกระทำความผิดโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะผู้เสียหายได้รับการรักษาพยาบาลทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตายสมเจตนาของนายเฉลิมชัย หลังจากนายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายแล้วจำเลยใช้รถจักรยานยนต์ คันหมายเลขทะเบียน อ่างทอง กฉค – 225 เป็นยานพาหนะช่วยเหลือนายเฉลิมชัยหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่นายเฉลิมชัยหรือหมู กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 86, 288 และริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา นายสมบัติ พูลประสาท ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86,80, 288 จำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 3 ปี 6 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ไม่ริบจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายเฉลิมชัยหรือหมู มีพร้อม พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายสมบัติ พูลประสาท โจทก์ร่วม 1 นัด ถูกที่บริเวณหน้าท้องได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์พานายเฉลิมชัยหลบหนีจากที่เกิดเหตุไป
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วม นายภูษิต ป่ายาง และนายวิทยา ป่ายาง พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทำนองเดียวกันว่าก่อนเกิดเหตุบุคคลทั้งสามดังกล่าวไปตามหาน้องชายโจทก์ร่วมบริเวณสวนสนุกที่เกิดเหตุโจทก์ร่วมเข้าไปตบศีรษะชายคนหนึ่งซึ่งโจทก์ร่วมจำได้ว่าเคยรังแกน้อยชายโจทก์ร่วม ขณะนั้นโจทก์ร่วมหันมาเห็นจำเลย นายเฉลิมชัยหรือหมูกับพวกยืนดูอยู่ห่างออกไปประมาณ 3 เมตร โจทก์ร่วมจึงร้องถามจำเลยกับพวกว่า มองอะไร จำเลยตอบว่า แล้วมึงจะทำไม โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหาจำเลยกับพวก นายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนสั้นยิงโจทก์ร่วม 1 นัด ถูกที่บริเวณช่องท้อง จากนั้นจำเลยกับพวกวิ่งจากที่เกิดเหตุแล้วจำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมีนายเฉลิมชัยหรือหมูนั่งซ้อนท้ายหลบหนีไป เห็นว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยและนายเฉลิมชัยหรือหมูพวกจำเลยซึ่งใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน โจทก์ร่วมพบกับจำเลยและนายเฉลิมชัยหรือหมูในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับนายเฉลิมชัยหรือหมูแล้วถูกนายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง 1 นัด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด โดยพฤติการณ์ที่จำเลยไม่อาจคาดคิดว่า โจทก์ร่วมจะเดินเข้ามาหากลุ่มของจำเลยจึงถูกนายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิง ฉะนั้น การที่นายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยหาได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับนายเฉลิมชัยหรือหมูด้วยไม่ แม้ภายหลังที่นายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแล้ว นายเฉลิมชัยหรือหมูกับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกันแล้ว นายเฉลิมชัยหรือหมูนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่นายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยมิได้เกิดขึ้นก่อนหรือขณะนายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะนายเฉลิมชัยหรือหมูใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน