แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายสามคนในระยะเวลาติดต่อกันนั้น ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนหนึ่งแล้ว คดีก็ย่อมเสร็จเด็ดขาดไปเฉพาะกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนนั้นเท่านั้นส่วนกระทงความผิดที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายอื่นยังหาได้มีการพิจารณาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 1 มีนาคม 2505 เวลากลางคืนหลังเที่ยงมีผู้แจ้งความต่อพลตำรวจประเสริฐกับนายภักดิ์ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานว่า นายฉุยถูกทำร้ายร่างกาย นายภักดิ์กับพลตำรวจประเสริฐกับนายสงวนจึงไปที่เกิดเหตุเพื่อสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดตามหน้าที่ ตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว ขณะที่นายภักดิ์กับพวกสอบถามและพยาบาลนายฉุยอยู่นั้น จำเลยบังอาจใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายนายภักดิ์ถูกที่หน้าผากและเหนือสบักขวา แล้วจำเลยบังอาจใช้ไม้ดังกล่าวแล้วตีทำร้ายร่างกายนายสงวนถูกกลางท้ายทอยและเหนือสบักขวา เป็นเหตุให้คนทั้งสองเกิดอันตรายแก่กาย นอกจากนี้จำเลยยังได้บังอาจตีทำร้ายร่างกายพลตำรวจประเสริฐจนได้รับอันตรายแก่กายสาหัส ซึ่งได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ) ในวันเดียวกับที่ยื่นฟ้องคดีนี้ เหตุเกิดที่ตำบลบางโฉลงอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 296
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียวกัน ไม่ใช่แยกเป็นต่างกรรมต่างวาระกันเมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยและศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ) ได้พิพากษาลงโทษจำเลย คดีเด็ดขาดถึงที่สุดแล้วสิทธิจะนำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรณีต่างกรรมต่างวาระกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาแล้ว ปรากฏว่าจำเลยใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายนายภักดิ์ แล้วจึงตีทำร้ายนายสงวนและใช้ไม้ตีทำร้ายพลตำรวจประเสริฐอีกด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยต่อผู้เสียหายแต่ละคน ก็เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามกฎหมายไม่เหมือนกับการทำร้ายครั้งเดียว เช่น ยกไม้ขึ้นฟาดไปทีเดียวแต่ไม้ไปถูกคนสองคน เห็นได้ว่า การยกไม้ขึ้นฟาดลงไปนั้นเป็นการกระทำครั้งเดียวกรรมเดียวแต่ผลที่เกิดขึ้นทำให้คนถูกทำร้ายร่างกายถึงสองคนต่างกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ซึ่งจำเลยยกไม้ขึ้นตี 3 ครั้ง ถูกคน 3 คน ทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน การที่ศาลทหารกรุงเทพฯ (ศาลจังหวัดสมุทรปราการ)ได้ทำการพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วนั้นคดีเสร็จเด็ดขาดไปเฉพาะความผิดในกระทงที่ทำร้ายร่างกายพลตำรวจประเสริฐเท่านั้น ส่วนกระทงความผิดที่จำเลยกระทำแก่ผู้เสียหายในคดีนี้ยังหาได้มีการพิจารณาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปไม่ สิทธินำคดีมาฟ้องจึงยังไม่ระงับไป
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปความ