แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้นแม้โจทก์จะมิได้นำสืบถึงการปิดประกาศกฎกระทรวง มีหลักป้ายหรือเครื่องหมายแสดงเขตป่าสงวนแห่งชาติก็ไม่ได้หมายความว่าทางราชการไม่ได้เคยดำเนินการดังกล่าว เพราะมิฉะนั้นแล้วจำเลยก็คงไม่รู้ว่าบริเวณนั้นเป็นป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อจำเลยรู้ข้อเท็จจริงนั้นอยู่แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงการที่ทางราชการได้ปิดประกาศดังกล่าว ก็ไม่ทำให้คดีของโจทก์เสียไปจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีความสุจริตทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยไม่รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และแม้จะไม่ได้แจ้งหรือสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทเสียก่อนดำเนินคดี ก็จะถือว่าจำเลยขาดเจตนาที่จะกระทำผิดทางอาญาหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินและแผ้วถางป่าภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าประดางและป่าวังเจ้าเป็นเนื้อที่ 91 ไร่ 2 งาน อันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้โดยจำเลยมิได้รับอนุญาตและมิได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2522 มาตรา 3 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2528 มาตรา 4 และให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสองพระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 มาตรา 3พระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2528 มาตรา 4ลงโทษจำคุก 2 ปี ให้จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบว่ามีการปิดประกาศสำเนากฏกระทรวงกำหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติ และมีหลัก ป้าย หรือเครื่องหมายแสดงแนวเขตป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ได้นำสืบว่าจำเลยมีสิทธิทำกินอยู่เฉพาะในที่ดินตรงส่วนใด ไม่ได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ป่าสงวนแห่งชาติเสียก่อนทำการจับกุม และว่าจำเลยไม่ทราบในขณะซื้อที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดจึงลงโทาจำเลยไม่ได้ เห็นว่า โจทก์นำสืบเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตตากผู้ทำการสำรวจเนื้อที่ป่าสงวนแห่งชาติที่พิพาท คือนายสุนทร ภาคธูปและนายคมน์ เครืออยู่ เป็นพยานเบิกความประกอบกันว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงและแผนที่พร้อมกฎกระทรวงตามสำเนาเอกสารหมาย จ.8 พยานทั้งสองพร้อมด้วยช่างสำรวจและผู้ใหญ่บ้านได้ทำการสำรวจที่ดินที่จำเลยครอบครองโดยทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศตามเอกสารหมาย จ.1 ไปตรวจสอบด้วย เมื่อสำรวจแล้วผลปรากฏว่าจำเลยบุกรุกครอบครองที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจำนวน91 ไร่ 2 งาน ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพจำเลยเองก็ยอมรับอยู่แล้วว่าที่พิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ในเอกสารที่ทางราชการออกให้แก่จำเลยสำหรับที่ดินที่ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองนั้นก็ระบุไว้ว่า ที่ดินบริเวณที่พิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้นำสืบถึงการปิดประกาศกฎกระทรวง มีหลักป้าย หรือเครื่องหมายแสดงเขตป่าสงวนแห่งชาติก็ไม่ได้หมายความว่า ทางราชการไม่ได้เคยดำเนินการดังกล่าว เพราะมิฉะนั้นแล้วจำเลยก็คงไม่ทราบว่าบริเวณนั้นเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติเมื่อจำเลยทราบข้อเท็จจริงนั้นอยู่แล้ว แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบถึงการที่ทางราชการได้ปิดประกาศดังกล่าว ก็ไม่ทำให้คดีโจทก์เสียไปเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีความสุจริตทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยไม่รู้ว่าเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และแม้จะไม่ได้แจ้งหรือสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทเสียก่อนดำเนินคดีแก่จำเลย ก็จะถือว่าจำเลยขาดเจตนาที่จะกระทำผิดทางอาญาหาได้ไม่
พิพากษายืน.