คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3330/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำสั่งศาลล้มละลายกลางที่รับคำให้การของจำเลยฉบับลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 มิใช่คำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดที่ยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคสอง (1) ถึง (5) อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าคำสั่งดังกล่าวของศาลล้มละลายกลางไม่ชอบจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาพิจารณาเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาด ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 26 วรรคสี่
โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ในวันนัดพิจารณา จำเลยมาศาลและแถลงต่อศาลว่า จำเลยไม่ติดใจถามค้านและไม่ติดใจสืบพยาน ทั้งยังแถลงว่าอยู่ระหว่างตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่โจทก์คาดว่าจะตกลงกันได้ ขอระยะเวลา 4 เดือน หากนัดหน้าไม่สามารถตกลงกันได้จะไม่ขอเลื่อนคดีอีกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งว่า คดีเสร็จการพิจารณา ให้นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้น จำเลยเป็นฝ่ายขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งรวม 5 ครั้ง เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปีเศษ อ้างว่าอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อขอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ทั้งจำเลยได้อ้างส่งเอกสารที่แสดงว่าตนเป็นหนี้โจทก์จริงและประสงค์จะผ่อนชำระหนี้นั้น นอกจากนี้ จำเลยแถลงรับในคำร้องขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของจำเลยฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2554 และฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า อยู่ในระหว่างการเจรจาหนี้กับโจทก์ เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้ชำระหนี้คืนโจทก์ ขอศาลได้โปรดเลื่อนคดี ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 จำเลยกลับยื่นคำร้องรวม 3 ฉบับ คือ คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งพยานเอกสาร คำร้องขอนำส่งบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็น และคำร้องขออนุญาตต่อสู้คดีและยื่นคำให้การ ทั้งยังยื่นคำให้การคำแถลงระบุพยานจำเลย และบัญชีระบุพยานมาด้วย ศาลล้มละลายกลางจดรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2555 ว่า ได้สอบโจทก์แล้วแถลงคัดค้านเนื่องจากจำเลยมีเจตนาประวิงคดี แล้ววินิจฉัยว่าการพิจารณาคดีล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงเพื่อให้ได้ความว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อจำเลยแถลงว่า การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ แต่จำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้ ไม่ใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดี กับมีคำสั่งให้เลื่อนไปถามค้านและสืบพยานจำเลยวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 ทั้งที่การพิจารณาคดีล้มละลายต้องดำเนินการติดต่อกันไปโดยไม่เลื่อนคดีจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ และเมื่อเสร็จการพิจารณาคดีให้ศาลล้มละลายรีบทำคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยเร็ว ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินคดีเพื่อระงับข้อพิพาทโดยวิธีอื่นโดยการไกล่เกลี่ยเพื่อให้คดีเสร็จไป ตามข้อกำหนดคดีล้มละลาย พ.ศ.2549 ข้อ 14 (1) จึงกำหนดให้กระทำได้เมื่อก่อนมีการสืบพยาน เมื่อคดีนี้ได้มีการสืบพยานแล้วเสร็จและคดีเสร็จการพิจารณาตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 การให้โอกาสแก่จำเลยในการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปเป็นเวลานานกว่า 1 ปีเศษ ซึ่งจำเลยมีระยะเวลาพอสมควรที่จะเจรจาหนี้นอกศาลกับโจทก์ แต่ไม่ปรากฏผลว่าสามารถเจรจาระงับข้อพิพาทนอกศาลกันได้สำเร็จโดยเร็ว โดยจำเลยเป็นฝ่ายแถลงต่อศาลในวันคดีเสร็จการพิจารณาเองว่า หากการเจรจาหนี้กับโจทก์ไม่สามารถตกลงกันได้จะไม่ขอเลื่อนคดีอีก แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขออนุญาตต่อสู้คดีและยื่นคำให้การความว่า การเจรจาหนี้กับโจทก์ไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งจำเลยใช้เวลานานเกินควรในการเจรจา และในคำร้องก็ระบุแต่เพียงว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โดยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งในคำร้องว่า หากศาลไม่อนุญาตให้ต่อสู้คดีและยื่นคำให้การแล้วจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไร พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี และการที่จำเลยยื่นคำให้การฉบับลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ภายหลังจากสืบพยานในคดีเสร็จสิ้นและคดีเสร็จการพิจารณาแล้ว จึงเป็นการยื่นคำให้การล่วงเลยระยะเวลาตามกฎหมาย ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยมานั้น เป็นการมิชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่รับคำให้การของจำเลยฉบับลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั้น เห็นว่า คำสั่งของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวมิใช่คำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดที่ยกเว้นให้อุทธรณ์ได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 24 วรรคสอง (1) ถึง (5) อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ แต่ศาลฎีกาพิจารณาเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็น ต้องแก้ไขข้อผิดพลาดตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 26 วรรคสี่ เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายคดีนี้เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ในวันนัดพิจารณา ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 สารบาญอันดับ 20/1 ในสำนวนว่า จำเลยมาศาลและแถลงต่อศาลว่าจำเลยไม่ติดใจถามค้านและไม่ติดใจสืบพยาน ทั้งยังแถลงอีกด้วยว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างตกลงเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ คาดว่าจะตกลงกันได้ ขอให้ศาลเลื่อนคดีไปสักนัดหนึ่ง โดยขอเวลาศาล 4 เดือน หากนัดหน้ายังไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะไม่ขอเลื่อนคดีอีก ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งว่า คดีเสร็จการพิจารณา พิเคราะห์แล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้นัดฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งเรื่อยมารวม 5 ครั้ง ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 ฉบับลงวันที่ 13 กันยายน 2554 ฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2554 และฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 สารบาญอันดับ 22/1, 24/1, 27/1, 31/1 และ 34/1 ในสำนวน เป็นระยะเวลานานกว่า 1 ปีเศษ โดยจำเลยอ้างว่าอยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อขอชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ทั้งจำเลยเป็นฝ่ายอ้างส่งเอกสารที่แสดงว่าจำเลยรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงและประสงค์จะขอผ่อนชำระหนี้นั้น ตามคำร้องขอประนอมหนี้และหนังสือเรื่องขอทราบผลการพิจารณาคำขอประนอมหนี้ เอกสารแนบท้ายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางฉบับลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2554 และเอกสารแนบท้ายคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 สารบาญอันดับ 25/1 และ 32/3 ในสำนวน นอกจากนี้ จำเลยก็ได้แถลงรับในคำร้องขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของจำเลยฉบับลงวันที่ 8 ธันวาคม 2554 และฉบับลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555 สารบาญอันดับ 28/1 และ 32/3 ในสำนวนว่า จำเลยอยู่ในระหว่างการเจรจาหนี้กับโจทก์ เพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้ชำระหนี้คืนโจทก์ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่คู่ความทุกฝ่าย และเพื่อให้จำเลยได้ติดตามผลการเจรจากับโจทก์ให้แล้วเสร็จ ขอศาลได้โปรดเลื่อนคดี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 จำเลยกลับยื่นคำร้องรวม 3 ฉบับ คือ คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสาร คำร้องขอนำส่งบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็น และคำร้องขออนุญาตต่อสู้คดีและยื่นคำให้การ ทั้งยังได้ยื่นคำให้การ คำแถลงระบุพยานจำเลย และบัญชีระบุพยานมาด้วย หลังจากนั้น ก็ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลล้มละลายกลางฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2555 สารบาญอันดับ 42/1 ในสำนวนว่า ศาลล้มละลายกลางได้สอบโจทก์ โจทก์แถลงคัดค้านเนื่องจากจำเลยมีเจตนาประวิงคดี แล้ววินิจฉัยคำร้องดังกล่าวของจำเลยว่า การพิจารณาคดีล้มละลาย ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงเพื่อให้ได้ความว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เมื่อจำเลยแถลงว่าการเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ แต่จำเลยมีทรัพย์สินเพียงพอชำระหนี้ ไม่ใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดี กับมีคำสั่งให้เลื่อนไปถามค้านและสืบพยานจำเลยวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 เห็นว่า การพิจารณาคดีล้มละลายต้องดำเนินการติดต่อกันไปโดยไม่เลื่อนคดีจนกว่าจะเสร็จการพิจารณา เว้นแต่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจก้าวล่วงเสียได้ และเมื่อเสร็จการพิจารณาคดีให้ศาลล้มละลายรีบทำคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยเร็ว ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินคดีเพื่อระงับข้อพิพาทโดยวิธีอื่นโดยการไกล่เกลี่ยเพื่อให้คดีเสร็จไป ตามข้อกำหนดคดีล้มละลายพ.ศ.2549 ข้อ 14 (1) จึงกำหนดให้กระทำได้เมื่อก่อนมีการสืบพยาน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้ได้มีการสืบพยานแล้วเสร็จและคดีเสร็จการพิจารณาตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งศาลล้มละลายกลางชอบที่จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยเร็ว แต่กลับให้โอกาสแก่จำเลยในการเลื่อนการอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งออกไปเป็นเวลานานกว่า 1 ปีเศษเช่นนี้ จึงแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยมีระยะเวลาพอสมควรที่จะเจรจาหนี้นอกศาลกับโจทก์ แต่ก็ไม่ปรากฏผลว่าสามารถเจรจาระงับข้อพิพาทนอกศาลกันได้สำเร็จ ทั้งๆ ที่จำเลยเป็นฝ่ายแถลงต่อศาลในวันที่คดีเสร็จการพิจารณาเองว่าหากการเจรจาหนี้กับโจทก์ไม่สามารถตกลงกันได้ ก็จะไม่ขอเลื่อนคดีอีก แต่จำเลยกลับยื่นคำร้องขออนุญาตต่อสู้คดีและยื่นคำให้การมีใจความว่า การเจรจาหนี้กับโจทก์ไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งที่จำเลยได้ใช้เวลานานเกินควรในการเจรจา ซึ่งในคำร้องก็ระบุแต่เพียงว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โดยไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งในคำร้องว่าหากศาลไม่อนุญาตให้ต่อสู้คดีและยื่นคำให้การแล้วจะทำให้เสียความยุติธรรมอย่างไร คงกล่าวอ้างแต่เพียงว่า ขอโอกาสแก่จำเลยในการเสนอรายละเอียดว่าจำเลยไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ซึ่งก่อนหน้านี้จำเลยแถลงไม่ติดใจถามค้านและไม่ติดใจสืบพยาน ทั้งยังเป็นฝ่ายอ้างส่งเอกสารซึ่งแสดงถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง และโจทก์ก็ได้แถลงคัดค้านคำร้องของจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยส่อไปในทางประวิงคดี ประกอบกับการที่จำเลยยื่นคำให้การฉบับลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ดังกล่าว ภายหลังจากสืบพยานในคดีเสร็จสิ้น และคดีเสร็จการพิจารณาแล้ว จึงเป็นการยื่นคำให้การล่วงเลยระยะเวลาตามกฎหมาย ดังนี้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำให้การของจำเลยมานั้น เป็นการมิชอบ จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่รับคำให้การของจำเลย เป็นว่าไม่รับคำให้การของจำเลย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร

Share