คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5859/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทำสัญญาเช่าห้องพิพาทจากจำเลยเป็นหนังสือและสัญญาเช่าอยู่ที่จำเลย จำเลยให้การว่าไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ สัญญาเช่าไม่มีอยู่ที่จำเลย เช่นนี้ โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบว่ามีสัญญาเช่าเป็นหนังสือจริงดังที่โจทก์กล่าวอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2) ไม่เป็นการต้องห้ามตามมาตรา 94
แม้สัญญาเช่าจะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่าก็ตาม แต่เมื่อทั้งโจทก์และ ว. ต่างเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากจำเลย การตายของว.จึงเป็นเหตุให้สิทธิการเช่าระงับไปเฉพาะตัวของ ว. แต่ผู้เดียว หาทำให้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปด้วยไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเช่าอาคารของจำเลยให้แก่โจทก์และนายวินัย พี่โจทก์ มีกำหนด ๑๐ ปี คิดค่าเช่าเป็นรายปี โดยให้โจทก์กับนายวิชัยก่อสร้างต่อเติมอาคาร ให้โจทก์กับนายวิชัยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยตกลงกันว่าเมื่อครบ ๑๐ ปีแล้วโจทก์กับนายวิชัยยินยอมยกสิ่งก่อสร้างให้เป็นสิทธิแก่จำเลย ข้อตกลงนี้ทำเป็นหนังสืออยู่ในความครอบครองของจำเลย โจทก์ นายวิชัยและจำเลยทั้งสองไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนเช่าต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ทางเจ้าพนักงานที่ดินได้ประกาศเรื่องการจดทะเบียนเช่าดังกล่าว โจทก์กับนายวิชัยได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยทั้งสอง ต่อมานายวิชัยตาย จำเลยนำอาคารดังกล่าวไปให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์ได้รับความเสียหายที่ได้ก่อสร้างต่อเติมอาคารไปแล้วเป็นเงิน ๕๖,๖๔๐ บาท หากโจทก์ได้ประกอบกิจการค้าจะได้เงินสุทธิซึ่งขอคิดเป็นเงิน ๕๓๐,๐๐๐ บาท ขอพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าอาคารให้โจทก์มีกำหนด ๑๐ ปี หากไม่สามารถไปจดทะเบียนการเช่าได้ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินค่าเช่า เงินค่าก่อสร้างและชดใช้ค่าเสียหาย รวมเป็นเงิน ๖๖๖,๖๔๐ บาท
จำเลยทั้งสองให้การฟ้องแย้งว่า จำเลยตรวจดูแล้วไม่พบสัญญาเช่าที่โจทก์อ้าง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยทั้งสองไม่เคยได้รับเงินมัดจำค่าเช่าจากโจทก์ ที่ว่าโจทก์ลงทุนก่อสร้างไปเป็นเงิน ๕๖,๖๔๐ บาท ไม่เป็นความจริง โจทก์ได้ทำละเมิดต่อจำเลยทั้งสอง ทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย ๒๐๐,๒๘๖ บาท จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งให้โจทก์ชดใช้แก่จำเลยและให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้ทำละเมิดต่อจำเลย โจทก์ทำการก่อสร้างต่อเติมอาคารโดยจำเลยทั้งสองตกลงยินยอม จะเสียหายไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๑๘๓,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ ยกฟ้องแย้ง
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า จำเลยทั้งสองตกลงให้โจทก์และนายวิชัยเช่าห้องพิพาทของจำเลยทั้งสอง แล้วพากันไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนการเช่าห้องพิพาทมีกำหนด ๑๐ ปี ทางอำเภอได้ประกาศแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ ไปขอยกเลิกการเช่าดังกล่าว และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันเป็นหนังสือและสัญญาเช่าอยู่ที่จำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่มีหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือ สัญญาเช่าไม่มีอยู่ที่จำเลย เช่นนี้ โจทก์นำพยานบุคคลเข้าสืบว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่ากันเป็นหนังสือตามคำฟ้องได้ เพราะเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพื่อให้เห็นว่ามีสัญญาเช่าเป็นหนังสือจริงดังที่โจทก์กล่างอ้าง จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ แต่กรณีต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๓ (๒) และการนำสืบในข้อนี้ฟังได้ว่า การเช่าห้องพิพาทโจทก์กับนายวิชัยและจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ด้วย ดังนั้น จึงเป็นการเช่าที่มีหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
โจทก์และนายวิชัยต่างเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากจำเลยทั้งสอง แม้สัญญาเช่าจะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อนายวิชัยตายสิทธิการเช่าย่อมระงับไปเฉพาะตัวนายวิชัยแต่ผู้เดียว สัญญาเช่าระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองหาได้ระงับไปด้วยไม่ และฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ชำระค่าเช่าล่วงหน้าจำนวน ๘๐,๐๐๐ บาทให้จำเลยจริง
พิพากษายืน

Share