แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยฎีกาว่าการที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและเบิกความต่อศาลเป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิที่จะรับมรดกตามที่จะได้รับตามบันทึกข้อตกลงทั้งสิ้นนั้นเมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้เช่นนั้นจึงไม่มีประเด็นดังกล่าวในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ตามที่จำเลยอุทธรณ์ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่218/2534ว่าบันทึกข้อตกลงเอกสารหมายจ.2มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยจำเลยไม่ได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องเมื่อจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวไม่ได้อุทธรณ์คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วดังนี้คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ บันทึกข้อตกลงนั้นยังมีผลใช้บังคับอยู่โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายเริง ไตรศรี เป็นบิดาโจทก์และจำเลยทั้งหกนายเริงเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 275 หมู่ที่ 4 ตำบลโคกลอย อำเภอตะกั่วทุ่งจังหวัดพังงา เนื้อที่ 15 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา นายเริงถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ใด ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2533จำเลยทั้งหกแต่งตั้งจำเลยที่ 5 เป็นตัวแทนตกลงกับโจทก์และได้มีการทำบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 โดยจำเลยทั้งหกตกลงยอมแบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวให้โจทก์ 7 ไร่ พร้อมเงินอีก 50,000 บาท โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งหกไปทำการแบ่งแยกที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินอำเภอตะกั่วทุ่งให้โจทก์ในวันที่ 20 มีนาคม 2535 แต่จำเลยทั้งหกไม่ไปสำนักงานที่ดินนั้นตามกำหนด เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเริงแล้วโจทก์จึงยื่นคำขออายัดที่ดินแปลงดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดินนายอำเภอตะกั่วทุ่งได้รับคำขออายัดของโจทก์แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกหรือจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเริง ไตรศรีไปจัดการแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 275 ให้แก่โจทก์ 7 ไร่ แล้วจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ณ สำนักงานที่ดินอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และให้จำเลยทั้งหกชำระเงินให้โจทก์ 50,000 บาท ในวันแบ่งแยกที่ดินนั้น
จำเลยทั้งหกให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนายเริง ไตรศรี นายเริงเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 275 ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงาจำเลยทั้งหกมอบหมายให้จำเลยที่ 5 เป็นตัวแทนทำบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2533 ตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 กับโจทก์ แต่โจทก์บอกเลิกสัญญาดังกล่าวแล้วโดยโจทก์ให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 4มกราคม 2534 ขอเลิกสัญญาไปยังจำเลยที่ 5 ในฐานะตัวแทนจำเลยทั้งหกว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 7 ไร่พร้อมเงิน 50,000 บาท ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกขอแบ่งทรัพย์มรดกของนายเริงในฐานะทายาทโดยธรรมต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 32/2534หมายเลขแดงที่ 218/2534 โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวว่าหนังสือเลิกสัญญาลงวันที่ 4 มกราคม 2534 ที่แจ้งไปยังจำเลยที่ 5นั้นเป็นการทำถูกต้องตามความประสงค์ของโจทก์ โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะรับโอนที่ดินจำนวน 7 ไร่ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 275 และเงินจำนวน 50,000 บาทอีกต่อไปโจทก์ได้แสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งขอเลิกสัญญาตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวกับจำเลยทั้งหกแล้ว โจทก์ไม่อาจฟ้องขอแบ่งที่ดิน 7 ไร่และเงิน 50,000 บาทได้ การที่โจทก์บอกเลิกสัญญาตามบันทึกข้อตกลงเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีดังกล่าว ทั้งที่จำเลยทั้งหกไม่ได้ผิดสัญญา แต่โจทก์เองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเป็นเหตุให้จำเลยทั้งหกได้รับความเสื่อมเสียเกียรติยศทำให้ได้รับการดูหมิ่น เกลียดชังจากเพื่อนบ้านและคนทั่วไปว่าเป็นคนโกง ต้องเสียเวลาทำงานหาเลี้ยงชีพและเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆในการต่อสู้คดี ซึ่งบันทึกข้อตกลงดังกล่าวระบุว่าหากโจทก์ผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ให้จำเลยทั้งหกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้โจทก์ผิดสัญญาไม่ไปรับโอนที่ดินและเงินตามบันทึกข้อตกลงแล้วกลับบอกเลิกสัญญาทั้งฟ้องคดีโดยไม่ชอบ ทำให้จำเลยทั้งหกได้รับความเสียหายจำเลยทั้งหกขอคิดค่าเสียหายจากโจทก์คนละ 30,000 บาทขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งหกคนละ30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 218/2534 ว่า จำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำการอันใดเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ส่วนโจทก์จะมีสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างไร ก็ชอบที่จะดำเนินการบังคับไปตามสิทธิของตนโดยไปดำเนินการทางสำนักงานที่ดินต่อไปโจทก์และจำเลยทั้งหกไม่ได้อุทธรณ์ คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นข้อตกลงตามสัญญาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ยังมีผลบังคับอยู่ต่อมาโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งหกแบ่งแยกที่ดินและชำระเงิน 50,000บาทให้โจทก์ตามข้อตกลง แต่จำเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติตามจำเลยทั้งหกจึงโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งหกเป็นคดีนี้ได้จำเลยทั้งหกไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายใด ๆ จากโจทก์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งหกหรือจำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเริง ไตรศรี จดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 275หมู่ที่ 4 ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เนื้อที่7 ไร่ ให้โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงาหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งหก ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระเงินให้โจทก์จำนวน 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งหก
จำเลย ทั้ง หก อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง หก ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยทั้งหกเป็นบุตรของนายเริง ไตรศรี นายเริงเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 275 หมู่ที่4 ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา เนื้อที่ 15 ไร่1 งาน 20 ตารางวา ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เอกสารหมาย จ.1 นายเริงถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2533 หลังจากนั้นจำเลยที่ 5 ในฐานะทายาทของนายเริงและตัวแทนของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6ทายาทของนายเริงได้ทำสัญญากับโจทก์ตามสำเนาบันทึกตกลงเอกสารหมาย จ.2 เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2533 โดยจำเลยทั้งหกตกลงแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 275 ด้านทิศตะวันตก เนื้อที่ 7 ไร่ ให้โจทก์พร้อมเงิน50,000 บาท จำเลยทั้งหกจะไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันทำบันทึกข้อตกลงและโจทก์ยินยอมสละมรดกอื่น ๆ ของนายเริง แต่เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยทั้งหกยังไม่สามารถจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินและมอบเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ได้ โจทก์มีหนังสือตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.1 บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งหกแล้วโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งหกให้แบ่งที่ดินมรดก 5 แปลงของนายเริงให้แก่โจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 32/2534 หมายเลขแดงที่218/2534 ของศาลชั้นต้น
โจทก์เบิกความในคดีดังกล่าวตามสำเนาคำเบิกความเอกสารหมาย ล.3 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าบันทึกข้อตกลงตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.2 มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งหก จำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ส่วนโจทก์จะมีสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างไรก็ชอบที่จะดำเนินการบังคับไปตามสิทธิของตนโดยไปดำเนินการทางสำนักงานที่ดินต่อไป และพิพากษายกฟ้อง โจทก์และจำเลยทั้งหกไม่อุทธรณ์คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว
ที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่า การที่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามสำเนาหนังสือเอกสารหมาย ล.1 และเบิกความต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 218/2534 ตามสำเนาคำเบิกความเอกสารหมายล.3 เป็นการแสดงเจตนาสละสิทธิที่จะรับมรดกตามที่จะได้รับตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.2 ทั้งสิ้นโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.2 นั้น เห็นว่าจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้เช่นนั้น จึงไม่มีประเด็นดังกล่าวในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งหกอุทธรณ์ก็ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยทั้งหกฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งหกปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.2 นั้น เมื่อได้ความว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 218/2534 ของศาลชั้นต้นว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งหก จำเลยทั้งหกไม่ได้กระทำการใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง ส่วนโจทก์จะมีสิทธิตามสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างไร ก็ชอบที่จะดำเนินการบังคับไปตามสิทธิของตนทางสำนักงานที่ดินต่อไป โดยโจทก์และจำเลยทั้งหกซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวไม่ได้อุทธรณ์คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ คำพิพากษาในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งหกในคดีนี้ซึ่งเป็นคู่ความใสคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่งว่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้บันทึกข้อตกลงนั้นจึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งหกปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ตามฟ้อง
พิพากษายืน