คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประทานบัตรที่โจทก์มีอยู่เดิมนั้นออกโดยพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ.2461 ซึ่งมาตรา 51 บัญญัติว่า ประทานบัตรทำเหมืองแร่ไม่ได้ให้อำนาจแก่ผู้ถือประทานบัตรหวงห้าม หรือถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินในเขตที่ได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่นั้นเลย คงเพียงให้ขุดล้างแร่ได้เท่านั้น แม้โจทก์จะเคยได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในเขตที่ดินอันรวมถึงที่พิพาทด้วย แต่โจทก์ยื่นคำขอต่ออายุเกินกำหนดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณีจึงสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุ และแนะนำให้โจทก์ยื่นขอประทานบัตรใหม่ การขอประทานบัตรใหม่โดยยังมิได้รับประทานบัตรนั้น โจทก์ยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท เท่ากับโจทก์ยื่นเรื่องราวขออนุญาตทำเหมืองแร่ใหม่เหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไป เมื่อได้ความว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่จำเลยได้มาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ.2492 ได้รับใบเหยียบย่ำเมื่อ พ.ศ.2493 จำเลยได้แจ้งการครอบครองและทางการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยแล้ว จำเลยได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาทุกปี ปลูกข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา กรีดน้ำยางได้มา 10 ปีเศษแล้ว ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ และย่อมมีสิทธิคัดค้านต่อเจ้าหน้าที่ว่าประทานบัตรที่โจทก์ขอใหม่นั้นทับที่ของจำเลยซึ่งครอบครองและมี น.ส.3 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ห้ามจำเลยและขอให้จำเลยถอนคำคัดค้านนั้น
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1889/2514 และที่ 1890/2514)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินเหมืองแร่ ๒ แปลงตามแผนที่ท้ายฟ้องเดิมเป็นป่าไม้ไม่มีผู้ใดถือกรรมสิทธิ์หรือทำประโยชน์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ นายลิ่ม บุนสุน ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ นายอุทิศ ประเสริฐศิริ รับโอนประทานบัตรนี้ต่อมา ซึ่งประทานบัตรนี้สิ้นอายุเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรเหมืองแร่นี้คือประทานบัตรที่ ๕๓๑๐/๗๘๙๓ และ ๕๓๑๑/๗๘๗๙ ต่อมาและจะสิ้นอายุในเดือนมีนาคม ๒๕๑๔ ครั้นวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ โจทก์ได้ยื่นเรื่องราวขอต่ออายุประทานบัตรทั้งสองนี้ เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณีได้ออกไปตรวจรังวัดตามแผนที่ประทานบัตรเดิม จำเลยร้องคัดค้านต่อเจ้าหน้าที่ว่าประทานบัตรของโจทก์ทับที่ของจำเลยซึ่งครอบครองและมี น.ส.๓ แล้ว เจ้าหน้าที่จึงไม่ออกประทานบัตรต่ออายุให้แก่โจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ศาลพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินตามประทานบัตรทั้งสองนี้ และให้จำเลยรื้อถอนที่พักคนงานออกไป ให้จำเลยถอนคำคัดค้านที่ยื่นไว้ต่อทรัพยากรธรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช หากจำเลยไม่ถอน ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทหมายเลข ๒ เป็นของจำเลย โดยการจับจองและได้รับใบเหยียบย่ำแล้วยึดถือครอบครองตลอดมาโดยโก่นถางปลูกยางพารากับได้แจ้งการครอบครองและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว ส่วนที่พิพาทหมายเลข ๑ จำเลยไม่ขอเกี่ยวข้องประทานบัตรของนายลิ่ม บุนสุน ได้สิ้นอายุใน พ.ศ.๒๕๐๐ เพราะครบกำหนด ๒๕ ปีไม่อาจต่ออายุและไม่อาจโอนมายังโจทก์ได้ จำเลยไม่ได้ขัดขวางการทำเหมืองแร่ของโจทก์ โจทก์ขอต่ออายุประทานบัตรเกินกำหนดในกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยครอบครองที่พิพาทก่อนฟ้องกว่า ๑ ปี และ ๑๐ ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ จำเลยมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่เสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทหมายเลข ๒ ให้จำเลยถอนคำคัดค้านที่ยื่นไว้ต่อทรัพยากรธรณีจังหวัดนครศรีธรรมราช หากจำเลยไม่ยอมถอนก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา คดีคงมีปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับที่พิพาทหมายเลข ๒ หรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยอำนาจตามประทับบัตรของโจทก์เลขที่ ๕๓๑๐/๗๘๙๓ มีอายุ ๑๐ ปี จะสิ้นอายุในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๔ ซึ่งทางพิจารณาได้ความว่าที่ดินที่โจทก์ร้องขอประทานบัตรนี้มีเนื้อที่ดิน ๒๘๙ ไร่ ๓ งาน ๗๙ ตารางวา ในจำนวนนี้มีที่พิพาทหมายเลข ๒ เนื้อที่ ๕ ไร่เศษด้วย เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ โจทก์ได้ขอต่ออายุประทานบัตร แต่ต่อเกินกำหนดเวลาตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณีจึงให้ยื่นคำขอใหม่เหมือนผู้ที่ยังไม่เคยได้รับประทานเลย ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.ล.๑ อันดับ ๑๐๗ โจทก์จึงปฏิบัติตามโดยยื่นแผนที่มีจำนวนเนื้อที่ดินและอาณาเขตเหมือนประทานบัตรเดิม ได้มีการรังวัดและประกาศจำเลยจึงมาคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ ซึ่งจำเลยได้จับจองรับใยเหยียบย่ำโก่นถางปลูกยางพาราแจ้งการครอบครองและได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณีขัดข้องไม่อาจออกประทานบัตรให้ได้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าประทานบัตรที่โจทก์มีอยู่เดิมนั้นเป็นการออกโดยพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ.๒๔๖๑ ซึ่งมาตรา ๕๑ บัญญัติว่า ประทานบัตรทำเหมืองแร่ไม่ได้ให้อำนาจแก่ผู้ถือประทานบัตรหวงห้ามหรือถือกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินในเขตที่ได้รับ อนุญาตให้ทำเหมืองแร่นั้นเลย คงเพียงให้ขุดล้างแร่ได้เท่านั้นแม้โจทก์จะเคยได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในเขตที่ดินรวมถึงที่พิพาทด้วยก็ดี แต่โจทก์ยื่นคำขอต่ออายุเกินกำหนดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรณีจึงสั่งไม่อนุญาตให้ต่ออายุ และแนะนำให้โจทก์ยื่นขอประทานบัตรใหม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการขอประทานบัตรใหม่โดยยังมิได้รับประทานบัตรนั้น โจทก์ยังไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาท การกระทำของโจทก์เท่ากับโจทก์ยื่นเรื่องราวขออนุญาตทำเหมืองแร่ใหม่เหมือนบุคคลทั่ว ๆ ไป สำหรับที่พิพาทนั้นข้อเท็จจริงก็ได้ความว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยแปลงใหญ่ จำเลยได้มาโดยการจับจองเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ และได้รับใบเหยียบย่ำเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ จำเลยได้แจ้งการครอบครองไว้ และทางการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยแล้ว จำเลยได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาทุกปีเดิมเป็นป่าทึบ จำเลยได้แผ้วถางแล้วปลูกข้าว มันสำปะหลัง และยางพารากรีดน้ำยางได้มา ๑๐ ปีเศษแล้ว จำเลยครอบครองมาโดยโจทก์และผู้แทนโจทก์มิได้เข้าเกี่ยวข้อง ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีสิทธิในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทหมายเลข ๒ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๘๙/๒๕๑๔, ๑๘๙๐/๒๕๑๔
พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องโจทก์ในคำขอที่ห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินตามประทานบัตรที่ ๕๓๑๐/๗๘๙๓ และในคำขอที่ให้จำเลยถอนคำคัดค้านที่ยื่นไว้ต่อทรัพยากรธรณีจังหวัดนครศรีธรรมราชนั้นเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share