คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1996/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 1 ให้คดีนี้ในข้อหาบุกรุก ความผิดต่อเสรีภาพ และทำให้เสียทรัพย์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการได้นำการกระทำอันเดียวกันกับคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกในข้อหาบุกรุก แม้คดีก่อนศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืน คดีถึงที่สุดหลักจากที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีนี้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าสำหรับจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธิของพนักงานอัยการที่นำคดีนี้มาฟ้องจึงระงับไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มุ่งหมายถึงการกระทำก่อให้เกิดความผิดนั้น ๆ หาได้หมายถึงฐานความผิดที่ขอให้ลงโทษจำเลยไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1275/2509)
แม้จำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนก็ตาม แต่ก็ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษา เพราะคำพิพากษาในคดีก่อนได้วินิจฉัยไว้ว่าการกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกศาลจึงต้องยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านอันอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕(๑)(๒),๘๓
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ในวันนับสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นได้ให้โจทก์ตรวจดูสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๒๑/๒๕๑๗ เมื่อตรวจดูแล้ว โจทก์แถลงว่าไม่ได้ทราบมาก่อนถึงคดีที่ผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ ๑ นี้
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีทั้งสองเป็นเท็จจริงอันเดียวกัน ในคดีก่อนศาลได้วินิจฉัยข้อหาฐานบุกรุกไว้ว่า การกระทำของจำเลยกับพวกไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก เพราะจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้มีสิทธิครอบครองตึกพิพาท และผู้เสียหายในคดีนี้หรือโจทก์ในคดีก่อนยินยอมออกจากตึกพิพาทเองเพราะรู้ดีอยู่ว่าตนเป็นฝ่ายผิดสัญญาฟ้องคดีก่อนจึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด เฉพาะจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ นอกจากกรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๕) แล้ว กรณียังต้องตามมาตรา ๒๒๗ วรรคแรกด้วย โดยเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ ๑ ไม่เป็นความผิด ส่วนจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์ฟ้องว่าร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ ก็ย่อมได้รับผลตามมาตรา ๒๒๗ วรรคแรก ด้วยเช่นกัน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในทำนองเดียวกันที่ได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในคดีก่อนซึ่งผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดี เป็นการกระทำกรรมเดียว วาระเดียวกันกับการกระทำของจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้นั่นเอง ในคดีก่อนผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ ๑ ในข้อหาบุกรุก ความผิดต่อเสรีภาพ และทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒,๓๖๕,๓๐๙ และ ๓๕๘ ซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าคดีไม่มีมูลในทั้งสามข้อหา จึงพิพากษายกฟ้อง ครั้นต่อมาพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกในข้อหาบุกรุกเนื่องจากในคดีก่อน แม้คดีก่อนศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน โดยวินิจฉัยในประเด็นแห่งความผิดที่กล่าวหาว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูล และคดีถึงที่สุดแล้ว แม้คดีถึงที่สุดหลังจากที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีนี้ก็ตาม ก็ถือได้ว่าสำหรับจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งพนักงานอัยการได้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๔) แล้ว สิทธิของพนักงานอัยการที่นำคดีนี้มาฟ้องจึงระงับไป
ส่วนที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่าคดีทั้งสองมีมูลคดีและฐานความผิดต่างกัน ย่อมไม่อาจนำ มาตรา ๓๙(๔) มาปรับได้นั้น บทมาตราดังกล่าวมุ่งหมายถึงการกระทำก่อให้เกิดความผิดนั้น ๆ หาได้หมายถึงฐานความผิดที่ขอให้ลงโทษจำเลยไม่ (ทั้งนี้ตามคำพิพากษา ฎีกาที่ ๑๒๙๕/๒๕๐๙) สำหรับคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น แม้จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นคู่ความในคดีก่อนก็ตาม จำเลยที่ ๒ ก็ย่อมได้รับผลตามคำพิพากษาคดีก่อนด้วย เพราะเมื่อคำพิพากษาในคดีก่อนได้วินิจฉัยไว้ว่าสิทธิครอบครองตึกพิพาทเป็นของจำเลยการกระทำของจำเลย(คือจำเลยที่ ๑ ในคดีนี้) แม้จะฟังว่าจำเลยที่ ๑ กับพวกเข้าไปตึกพิพาทก็ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก และถึงแม้ในคดีก่อนมิได้มีสืบพยานดังที่โจทก์กล่าวไว้ในฎีกาด้วยก็ตาม ก็ปรากฏว่าการที่ศาลพิพากษายกฟ้องคดีก่อนเพราะคดีของโจทก์ไม่มีมูลนั้น ศาลได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งความผิดไปแล้ว คดียังไม่มีเหตุที่เปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น
พิพากษายืน
(วิกรม เมาลานนท์ สุธี ชอบธรรม ยิ่งศักดิ์ กฤษณจินดา)

Share