คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5851/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้การแบ่งแยกโฉนดจะไม่ตรงตามแนวเขตที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมทำให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมและได้ครอบครองตลอดมา การที่จำเลยสร้างรั้วในเขตที่ดินพิพาทจึงเป็นการสร้างในที่ดินของจำเลยเอง ไม่เป็นการรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยถูกที่ดินของโจทก์ล้อมอยู่3 ด้าน จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตเสริมสังกะสีรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ เป็นพื้นที่ 2 ตารางวา โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยรื้อรั้วแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อรั้วดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในบริเวณที่ดินของโจทก์ต่อไป ให้จำเลยทำที่ดินของโจทก์ให้เป็นไปตามสภาพปกติหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายซึ่งโจทก์ว่าจ้างบุคคลภายนอกให้ทำที่ดินเป็นสภาพปกติ
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยเป็นพี่น้องกัน บิดาโจทก์จำเลยทำพินัยกรรมยกที่ดินในคดีนี้ให้โจทก์ จำเลยและน้อง เดิมที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นแปลงเดียวกันบิดาได้ทำพินัยกรรมแบ่งออกเป็น 3 แปลง ที่ดินแปลงที 1 ตกได้แก่จำเลย แปลงที่ 2 ตกได้กับนายเรืองศรี บุรณศิริ ส่วนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนอกนั้นตกได้กับโจทก์ในพินัยกรรมระบุให้โจทก์เป็นผู้แบ่งแยกโฉนดตามพินัยกรรมให้แก่ผู้รับมรดก เมื่อบิดาถึงแก่กรรมลงโจทก์ได้ดำเนินการตามพินัยกรรมแล้ว จำเลยจึงให้บริษัทจิ๊บฮั่งฮง จำกัดเช่าตึกและที่ดิน กับได้ทำรั้วสังกะสีดำด้านบนกำแพงคอนกรีตเพื่อกั้นที่ว่างหลังตึกต่อมารั่วสังกะสีผุกร่อน จำเลยจึงได้เปลี่ยนแผ่นสังกะสีใหม่โดยมิได้สร้างรั้วคอนกรีตเสริมสังกะสีตามฟ้องโจทก์ จำเลยมิได้สร้างรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เพราะเป็นที่ดินมรดกของจำเลยและได้ครอบครองตลอดมา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาได้ตรวจดูพินัยกรรมและแผนที่สังเขปสำหรับแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.6 และ ล.7แล้ว เห็นว่ามีข้อกำหนดให้แบ่งแยกที่ดินออกเป็น 3 แปลงดังแผนที่สังเขปท้ายพินัยกรรม ที่ดินหมายเลข 1 ซึ่งอยู่ติดกับถนนทรงวาดให้แก่จำเลย หมายเลข 2 ซึ่งอยู่ติดถนนทรงวาดให้แก่นายเรืองศรี บูรณศิริ หมายเลข 3 ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและมีทางออกถนนทรงวาดให้แก่โจทก์ และปรากฏตามบันทึกในแผนที่สังเขปว่าเส้นเขตของที่ดินหมายเลข 1 และ 2 ล้อมกรอบด้วยเส้นสีดำเส้นเขตของที่ดินหมายเลข 3 ล้อมกรอบด้วยเส้นสีแดง ในแผนที่สังเขปได้เว้นที่ว่างไว้กว้าง 2 เมตร เป็นแนวทางทิศใต้ของที่ดินแปลงที่ 1 และแปลงที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินแปลงที่ 3 และอยู่นอกเส้นเขตสีแดงซึ่งเป็นเขตที่ดินของโจทก์ ที่ดินที่เว้นว่างได้ดังกล่าวส่วนที่ติดกับที่ดินแปลงที่ 1 จึงตกเป็นของจำเลยตามพินัยกรรม ที่ดินส่วนนี้มีความยาวตลอดแนวด้านหลังของตึกแถวที่บริษัทจิ๊บฮั่วฮง จำกัด เป็นผู้เช่าเท่านั้น มิได้ยาวตลอดไปถึงตึกแถวส่วนที่บริษัทฮั่วเซียงไถ่ จำกัด เป็นผู้เช่าด้วยจำเลยนำสืบว่าตึกแถวในที่ดินของจำเลยที่ให้บริษัทฮั่วเซียงไถ่จำกัด เช่าต่อไปหลังจากเข้าครอบครองที่ดินตามพินัยกรรมแล้วคือตึกแถวเลขที่ 822 และ 824 ส่วนตึกแถวที่มีที่ดินเว้นว่างไว้ด้านหลังกว้าง 2 เมตร คือตึกแถวเลขที่ 826 และ 828 ซึ่งจำเลยให้บริษัทจิ๊บฮั่วฮง จำกัด เช่าต่อไป และทำรั้วกำแพงคอนกรีตกั้นรอบที่ดินของจำเลย รั้วที่จำเลยกั้นด้านหลังตึกแถวที่ให้บริษัทจิ๊บฮั่วฮง จำกัด เช่ามีความยาวเท่ากับตึกแถวทั้งสองห้องดังกล่าว สอดคล้องกับแผนที่สังเขปสำหรับแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.7 เมื่อพิเคราะห์แผนที่ดังกล่าวเปรียบเทียบกับแผนที่วิวาทเอกสารหมาย จ.2 แล้ว เห็นว่า แนวเขตที่ดินส่วนของโจทก์ตามพินัยกรรมส่วนที่ติดกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้น่าจะเริ่มจากหมุดเขตที่ 03823 ไปถึงหลักเหล็กที่ 1 (ล.ล.1)แล้วลงมาทางทิศใต้ถึงหลักเหล็กที่ 2 (ล.ล.2) และหลักเหล็กที่ 3(ล.ล.3) ตามลำดับ ซึ่งความยาวของแนวเขตที่ดินระหว่างหมุดเขตที่03823 ถึงหลักเหล็กที่ 1 จะเท่ากับความกว้างของตึกแถวในที่ดินของจำเลยจำนวน 2 ห้องที่บริษัทฮั่วเซียงไถ่จำกัด เช่าพอดีแต่แนวเขตที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1636 ของโจทก์ซึ่งแบ่งแยกในภายหลังตามแผนที่วิวาทเริ่มจากหมุดเขตที่ 03823 ผ่านหลักเหล็กที่ 1 (ล.ล.1) ไปจนถึงหลักเหล็กที่ 4 (ล.ล.3) ล้ำเข้ามาในส่วนที่เป็นของตึกแถวห้องที่สามทำให้ที่ดินส่วนที่ต้องเว้นว่างไว้2 เมตรด้านหลังตึกแถวที่จำเลยให้บริษัทจิ๊บฮั่วฮง จำกัด เช่ามีความยาวไม่ตลอดตึกแถวทั้งสองห้อง จึงเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าการแบ่งแยกโฉนดไม่ตรงตามแนวเขตที่ดินในแผนที่สังเขปสำหรับแบ่งแยกที่ดินตามพินัยกรรมเอกสารหมาย จ.7 แนวเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์ล้ำเข้าไปที่ดินส่วนของจำเลยเป็นเหตุให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยก็นำสืบว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยและที่ดินพิพาทมาตั้งแต่วันที่ 19มกราคม 2511 หลังจากฌาปนกิจศพหลวงเลขาวิจารณ์ได้ 1 เดือนโดยให้บริษัทจิ๊บฮั่วฮง จำกัด เช่าตึกแถวพร้อมที่ดินของจำเลยและต่อมาได้สร้างรั้วกำแพงคอนกรีตกั้นรอบบริเวณที่ดินพิพาทเมื่อโจทก์รื้อตึกแถว 9 ห้องในที่ดินของโจทก์เพื่อสร้างใหม่และให้ผู้อื่นเช่าที่ดินพิพาทใช้เป็นที่เก็บอุปกรณ์การขายกาแฟเป็นเวลา 10 ปีเศษมาแล้ว และได้เสริมสังกะสีต่อรั้วกำแพงให้สูงขึ้นเนื่องจากโจทก์ได้ถมที่ดินของโจทก์ให้สูงขึ้น ซึ่งโจทก์ก็นำสืบรับว่าได้ปรับปรุงฐานพื้นดินใหม่ทั้งหมดภายหลังจากรื้อตึกแถว 9 ห้องในที่ดินของโจทก์ออกแล้วเพื่อสร้างตึกแถวขึ้นใหม่ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2527 ที่ศาลออกไปเผชิญสืบก็ปรากฏว่าระดับพื้นที่ดินพิพาทตลอดแนวต่ำกว่าพื้นที่ดินนอกรั้วถึง 72 เซนติเมตร แสดงว่า โจทก์มิได้เป็นฝ่ายครอบครองที่ดินพิพาทจึงมิได้ปรับปรุงพื้นฐานที่ดินพิพาทให้สูงเท่ากับที่ดินของโจทก์ด้วย ยิ่งกว่านั้นยังได้ความจากคำเบิกความของนายบวรพยานโจทก์ที่ออกไปทำแผนที่วิวาท ว่าสภาพรั้วคอนกรีตดังกล่าวเก่าใกล้เคียงกับตึกแถวของจำเลยทั้งสี่ห้องในที่ดินของจำเลย รูปคดีฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามพินัยกรรมและได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมา แม้ที่ดินพิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ที่จำเลยสร้างรั้วในเขตที่ดินพิพาทจึงเป็นการสร้างในที่ดินของจำเลย ไม่เป็นการสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์”
พิพากษายืน

Share