คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของและฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้ แต่นำสืบได้เพียงว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง นั้นตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสองยังไม่ได้เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องให้จำเลยส่งข้าวเปลือกหรือใช้ราคา

จำเลยให้การว่า ทำสัญญาขายข้าวเปลือกรับเงินไปแล้วหาข้าวไม่ได้จึงได้ทำเป็นสัญญากู้แต่ได้ชำระแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยส่งข้าวเปลือกหรือชำระราคา

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยส่งข้าวเปลือกให้โจทก์ตามสัญญาไม่ได้ จำเลยก็มีความรับผิดที่จะต้องคืนเงินแก่โจทก์ เท่าที่จำเลยนำสืบว่า “โจทก์พูดว่า ให้หาเงินมาให้เร็วถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง” คำพูดเพียงเท่านี้ไม่มีความหมายยิ่งไปกว่าผู้ซื้อเรียกเงินที่ผู้ขายจะต้องคืนให้ เพราะไม่สามารถส่งมอบทรัพย์สินที่ขายถ้าคืนให้ช้าเกินไปก็จะคิดดอกเบี้ยยังไม่เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรค 2 บัญญัติอยู่แล้วว่า ถ้าเพื่อที่จะทำความพอใจแก่เจ้าหนี้นั้น ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านมิให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้” ฉะนั้น เท่าที่จำเลยนำสืบมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังว่าได้มีการแปลงหนี้ใหม่ดังที่จำเลยต่อสู้มานั้นชอบแล้ว

จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยยื่นคำให้การว่าได้แปลงหนี้เป็นการกู้ยืมและจำเลยชำระหนี้ที่แปลงนั้นเสร็จไปแล้ว โจทก์ไม่ได้ตั้งประเด็นขึ้นมาว่าเงินที่จำเลยชำระหนี้นั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบพยานเช่นนั้นในปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาได้ปรึกษาในที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าการที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของจำเลย ซึ่งต่างกับข้ออ้างของจำเลยในคำให้การต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ารับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 3 มิฉะนั้น ศาลจะถือว่าคงมีประเด็นเฉพาะข้อที่จำเลยไม่รับตามมาตรา 183 เท่านั้น นอกนั้นอาจเป็นข้อที่ศาลเห็นว่าจำเลยได้รับแล้วและฟังข้อที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องนั้นได้ โดยไม่ต้องสืบพยานตามมาตรา 84(1)

เมื่อโจทก์ไม่มีหน้าที่ปฏิเสธข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวแล้วข้ออ้างของจำเลยที่โจทก์มิได้แถลงรับก็ต้องถือว่าเป็นประเด็นที่จำเลยต้องนำสืบตามมาตรา 84 เมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยดังนี้ โจทก์ก็ย่อมสืบหักล้างได้ เพราะตามมาตรา 87(1) ถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องนำสืบแล้ว พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังมิใช่ว่าคู่ความจะมีสิทธินำสืบพยานได้แต่เฉพาะข้อที่ตนได้อ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84, 85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียว อีกประการหนึ่ง แม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็นำสืบหักล้างได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวถึงข้ออ้างอันเป็นประเด็นในคดีอยู่แล้ว จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นข้อเดียวกันซึ่งคู่ความต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง

ข้อนำสืบของโจทก์เช่นนี้จะถือเอาว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้วและโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้รับตามข้ออ้างของจำเลยว่าได้แปลงหนี้และจำเลยได้ชำระหนี้รายที่แปลงนั้นเลย คำพิพากษาฎีกาที่ 972/2492 ที่จำเลยอ้างต่างกับคดีนี้เพราะตามฎีกานั้นศาลได้สอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว แต่โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์จึงไม่มีประเด็นนำสืบ แต่คดีนี้ศาลมิได้สอบถาม โจทก์จึงนำสืบหักล้างข้ออ้างของจำเลยได้

ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มิได้ถามค้านไว้จึงนำสืบไม่ได้ตามมาตรา 89 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้ถามค้านไว้และจำเลยได้ตอบว่า “ก่อนจำเลยจะได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวเปลือกคดีนี้จำเลยไม่เคยกู้เงินของโจทก์เลย” เมื่อโจทก์ได้ถามค้านพยานจำเลยไว้เพื่อให้โอกาสพยานจำเลยอธิบายถึงข้อความเหล่านั้นตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระมานั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น

พิพากษายืน

Share