คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 933/2472

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ประมาทครั้งหลังมีเวลาพอหลีกเลี่ยงได้ ต้องรับผิด แม้ผู้เสียจะทำผิดกฎหมาย ผู้รับประกันภัยใช้เบี้ยประกันภัยแล้วมีสิทธิไล่เบี้ย พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ คนอังกฤษและอเมริกันเปนคู่ความ ฎีกาได้ในข้อกฎหมายข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังผิดกับหลักฐาน เปนปัญหากฎหมาย แลศาลสูงไม่จำต้องถือตามเทียบฎีกาที่ 713/69 และ 40/71

ย่อยาว

โจทก์ที่ ๑ จอดเรือซ้อนลำกัน ซึ่งผิดต่อ พ.ร.บ.เดินเรือ พ.ศ.๒๔๕๖ ม.๔๖ และจำเลยที่ ๑ เปนกัปตันเรือกายิง ยอมให้เรือฉลอม ๓๐ ลำผูกพ่วงติดมาทางซ้ายหัวเรือแล่นมาจะจอดได้แลเห็นเรือโจทก์จอดล้ำแม่น้ำอยู่แล้ว และจำเลยรู้อยู่ดีแล้วว่าจะนำเรือเทียบท่าเมื่อมีเรือเล็กเกะกะนั้น อาจเกิดอันตรายหลายประการซ้ำจำเลยก็ยังรู้สึกว่าเรือพ่วง ๓๐ ลำมีน้ำหนักถ่วงหัวเรืออยู่มาก แต่จำเลยยังขืนจะเทียบเรือโดยแล่นเฉียดเข้าไปข้างเรือโจทก์ แล้วก็หยุดเครื่อง แต่กระแสน้ำพัดเรือที่พ่วงทางหัวดึงเอาหัวเรือกายิงจำเลยเบนออกแม่น้ำ และท้ายปัดเข้าไปทางตลิ่ง โดนเรือโจทก์แตกเสียหายเช่นนี้
ศาลคดีต่างประเทศเห็นว่าจำเลยเลินเล่อภายหลังที่โจทก์ทำผิดกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าถ้าโจทก์ไม่ทำผิดกฎหมายแล้ว ก็จะไม่เกิดโดนกันขึ้น และไม่มีหลักฐานว่าเรือกายิงยอมให้เรือฉลอมพ่วงที่หัวเรือ และนายเรือได้ใช้ความระมัดระวังตามลักษณเดินเรือแล้ว จึงตัดสินยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความเปนคนอเมริกันและอังกฤษ จะฎีกาได้ในปัญหากฎหมายเท่านั้นและศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา ถ้าข้อเท็จจริงนั้นขัดกับพะยานหลักฐานในท้องสำนวน ซึ่งเปนปัญหากฎหมาย ตามฎีกาที่ ๔๐/๗ และในท้องสำนวนปรากฎชัดว่าเรือกายิงยอมให้เรือฉลอมพ่วงมาเทียบท่าด้วย การที่โจทก์ซ้อนลำกัน ซึ่งเรือจำเลยก็ได้เห็นแล้ว ไม่มีเหตุใกล้ชิดพอที่จะให้เกิดอันตราย เพราะจำเลยมีโอกาศพอที่จะหลีกเลี่ยงได้ กล่าวคือ ไม่ฝืนเข้าไปเทียบท่า จำเลยทำไปครั้งนี้ได้ชื่อว่าได้ทำไปโดยประมาทในภายหลัง ตามหลักแห่งการประมาท ซึ่งศาลฎีกาได้วางไว้ในคดีที่ ๗๑๓/๒๔๖๙ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ในคำร้อง จึงตัดสินกลับศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลเดิม (คดีนี้โจทก์ที่ ๒ เปนผู้รับประกันเข้าสารในเรือโจทก์ที่ ๑ และได้ใช้เบี้ยประกันภัยแล้ว)

Share