คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดประทับตราประจำตัวของจำเลย และประทับตราค่าภาคหลวงอันเป็นตราของทางราชการซึ่งจำเลยมีหน้าที่รักษาและใช้อำนาจหน้าที่ ที่ไม้ของกลาง 7 ท่อน เป็นไม้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดและฝ่าฝืนระเบียบของกรมป่าไม้ โดยมิได้ประทับตราประจำตัวพร้อมเลขเรียงลำดับท่อนภาคหลวงของไม้ท่อนที่ตัดทอนจากตอนั้น และเลขปี พ.ศ. ที่ประทับตราไว้ที่หน้าตัดของตอไม้ทุกตอ ทำให้กรมชลประทานและกรมป่าไม้เสียหายนั้น จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 160 และการที่จำเลยประทับตราฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าวของกรมป่าไม้ที่วางไว้เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้อื่นแล้วนำมาสวมรอยอ้างว่าเป็นไม้ที่เจ้าหน้าที่ได้ตรวจคัดเลือกอนุญาตให้ตัด นั้น เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลเสียหายของการกระทำนั้นได้ และก็ได้เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว จะอ้างว่า กระทำไปโดยสุจริตหรือกระทำไปด้วยความสำคัญผิดหาไม่ได้ ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ช่วยป่าไม้จังหวัด ได้ไปตีตราแทนป่าไม้จังหวัดตามหน้าที่เพื่อคำนวณค่าภาคหลวงให้แก่ผู้รับอนุญาตทำไม้หวงห้าม และในการตีตราจำเลยจะต้องตีตรา ณ ที่ตอไม้ที่เจ้าพนักงานตีตราอนุญาตให้ตัด และไม้ที่จะเสียค่าภาคหลวงจะต้องมีตราคัดเลือกตรงกับที่ตอไม้นั้น จำเลยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว โดยจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้บังอาจใช้ตราประจำตัวของจำเลยตีตราไม้ซึ่งมีผู้ลักลอบตัดฟันจากที่อื่นแล้ว นำมารวมหมอนกองไว้ปะปนกับไม้ที่ได้รับอนุญาตรวม ๗ ท่อน ซึ่งไม้ ๗ ท่อนนี้ไม่มีดวงตราคัดเลือกประจำต้น แต่จำเลยก็ยังใช้ดวงตราประจำตัวของจำเลยประทับให้ เพื่อประโยชน์ของผู้ลักลอบตัดฟันไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำมิชอบด้วยหน้าที่ ทั้งนี้ ทำให้รัฐบาลและประชาชนเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๐ และริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐ ให้จำคุก ๓ ปี คำให้การจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีพยานหลักฐานฟังได้ว่า ไม้ของกลางทั้ง ๗ ท่อนในคดีนี้มีตราค่าภาคหลวงหรือตรา ภ.ล. ประทับไว้ และมีตรา ต.๖๒๔ อันเป็นตราประจำตัวของจำเลยประทับด้วย จำเลยรับว่าจำเลยเป็นผู้ประทับตราไม้ ๗ ท่อนนี้จริง ไม้ทั้ง ๗ ท่อนนี้โจทก์นำสืบได้ว่าเป็นไม้ที่ตัดจากไม้ที่อยู่ในป่าแปลงที่ ๒ ซึ่งยังมิได้อนุญาตให้ผู้ใดตัด เพราะได้ตัดตอไม้ทั้ง ๗ ตอที่อยู่ในป่าแปลงที่ ๒ มาเทียบกับไม้ทั้ง ๗ ท่อนของกลางแล้ว เข้ากันได้พอดี ทั้งที่ตอไม้นั้นก็ไม่มีตราประทับไว้ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการตรวจวัด การประทับตราและการเรียกเก็บเงินค่าภาคหลวงไม้ ไม้ฟืนหรือไม้เผาถ่าน พ.ศ. ๒๕๑๐ การที่จำเลยประทับตราประจำตัวของจำเลยที่ไม้ของกลางทั้ง ๗ ท่อน และประทับตราค่าภาคหลวงอันเป็นตราของทางราชการซึ่งจำเลยมีหน้าที่รักษาและใช้ตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย โดยไม้ของกลางทั้ง ๗ ท่อนนี้เป็นไม้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดและเป็นการประทับตราที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบของกรมป่าไม้ดัางกล่าวแล้ว กล่าวคือ จำเลยมิได้ประทับตราประจำตัวพร้อมเลขเรียงลำดับท่อนภาคหลวงของไม้ท่อนที่ตัดทอนจากตอนั้น และเลขปี พ.ศ. ที่ประทับตราไว้ที่หน้าตัดของตอไม้ทุกตอ การกระทำของจำเลยเช่นนี้ ย่อมทำให้กรมชลประทานและกรมป่าไม้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เจตนา แต่ได้กระทำการโดยสุจริต แม้จะปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือผิดระเบียบก็ไม่เป็นความผิดก็ดี หรือจำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงจึงจะถือว่ามีเจตามิได้ก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบดังกล่าวนั้นวางไว้เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้อื่นแล้วนำมาสวมรอยอ้างว่าเป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ตรวจคัดเลือกอนุญาตให้ตัด การที่จำเลยตีตราไม้โดยฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าว เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลเสียหายของการกระทำนั้นได้ และก็ได้เกิดความเสียหายขึ้นจริงดังกล่าวแล้ว จำเลยจะอ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตหรือกระทำไปด้วยความสำคัญผิดหาได้ไม่ ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share