แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความท้ากัน ให้จ่าศาลทำแผนที่ กำหนดเขตตามคำพิพากษาในคดีเดิมถ้าจ่าศาลทำตามคำสั่งแล้วจะถือข้อแพ้ชนะตามแผนที่นั้นเมื่อจ่าศาลทำแผนที่แล้ว จำเลยเถียงว่าแผนที่ตอนหนึ่งไม่ถูกประเด็นข้อนี้ศาลตรวจดูแผนที่ ถ้าปรากฏชัดว่าถูกต้องและข้อเถียงของจำเลยไม่มีเหตุสนับสนุนศาลก็งดสืบพยานตามที่จำเลยเถียงได้เพราะหลักฐานเท่าที่ปรากฏฟังเป็นยุติได้แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 7692 และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5780 ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน อยู่ตำบลบ้านม่วงอำเภอบางประหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์จำเลยเคยเป็นความกัน เรื่องบุกรุกที่ดินในคดีแพ่งเลขแดงที่ 255/2494 ของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจำเลยในคดีนี้เป็นโจทก์และเป็นฝ่ายชนะ คดีถึงที่สุดแล้ว
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2498 จำเลยในคดีนี้ได้นำช่างแผนที่ไปรังวัดสอบเขตโฉนดที่ 5780 ของจำเลย จำเลยได้นำชี้เข้าไปในโฉนดที่ 7692 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกกว้าง 2 วา ยาวตลอดแนว ทางด้านทิศเหนือ กว้างประมาณ 12 วา รวมเนื้อที่ประมาณ 125 ตารางวาราคา 300 บาท ซึ่งที่ดินนี้ทางทิศเหนือมีกอไผ่และต้นมะดันเป็นคันเขตทางทิศใต้มีต้นมะพลับเป็นมุมเขต จำเลยได้นำชี้ให้ช่างแผนที่ปักหลักเลยแนวต้นไม้เหล่านั้นเข้าไปในที่โจทก์ปรากฏตามแผนที่ท้ายฟ้อง แล้วจำเลยตัดต้นพุทรา 1 ต้น ต้นคาง 1 ต้นกอไผ่ 1 กอ ต้นฝรั่ง ต้นสะแก รวมราคา 365 บาท ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินโฉนดที่ 7692 ของโจทก์ ให้จำเลยถอนเสาหินออกไป และให้ใช้ค่าเสียหายในการตัดต้นไม้ของโจทก์เป็นเงิน 365 บาท
จำเลยให้การว่า ในคดีแพ่งเลขแดงที่ 255/2494 ระหว่างโจทก์จำเลย ในคดีนั้นได้มีการทำแผนที่วิวาทโดยคู่ความนำชี้และรับรองกันว่าถูกต้อง ครั้นเมื่อจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยจึงได้ขอให้ศาลส่งแผนที่วิวาทนั้น ไปให้เจ้าพนักงานทะเบียนที่ดินทำการสอบเขตให้ตรงตามแผนที่ เจ้าพนักงานจึงไปทำการรังวัดในเดือนเมษายน 2498 จำเลยได้ชี้เขตตามแผนที่ในคดีนั้นทุกประการหาได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ไม่ส่วนต้นไม้ที่จำเลยตัดฟันอยู่ในที่ดินของจำเลยตามแผนที่วิวาทเดิม และมีราคาเพียง 50 บาท
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทำการพิจารณา โจทก์จำเลยได้ตกลงกันขอให้จ่าศาลไปทำแผนที่กำหนดเขต ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีแพ่งแดงที่ 255/2494 โดยถือเอารูปแผนที่ตามที่ปรากฏท้ายหนังสือของเจ้าพนักงานที่ดินอยุธยาที่ 3678/2498 ลงวันที่ 19 ตุลาคม 2498 อยู่ในสำนวนนี้ ถ้าจ่าศาลไปทำตามคำสั่งแล้ว คู่ความถือเอาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้
เมื่อจ่าศาลได้ทำแผนที่กำหนดเขตมาแล้ว โจทก์รับรองว่าถูกต้องฝ่ายจำเลยว่าไม่ถูกเพราะเส้นโค้งไม่ตรงเช่นในแผนที่วิวาทแต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานในประเด็นข้อนี้ คงให้สืบพยานเฉพาะในข้อค่าเสียหาย และเมื่อได้สืบพยานโจทก์ไป 1 ปาก โจทก์จำเลยตกลงกันว่า ค่าเสียหายสำหรับการตัดต้นไม้เป็นเงิน 150 บาทต้นไม้เหล่านี้ จำเลยรับว่าอยู่ในระหว่างแนวต้นข่อยซึ่งศาลหมาย ก. ไปถึงเสาหินซึ่งศาลหมาย ข. ในแผนที่ของจ่าศาลในคดีนี้หากถือตามแผนที่ของจ่าศาลแล้ว ต้นไม้ก็จะอยู่ในที่ดินของโจทก์ ซึ่งจำเลยเถียงว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยตามที่ได้ชนะคดีไว้ เมื่อรับกันดังนี้ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานในประเด็นข้อนี้อีกแล้วพิพากษาว่า จ่าศาลได้ไปทำแผนที่กำหนดเขตมาถูกต้องตามคำท้าของคู่ความแล้ว ตามแผนที่กำหนดเขตนี้ ปรากฏว่าหลักเขตที่จำเลยนำปักได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ จึงบังคับไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินโฉนดที่ 7692 ให้จำเลยจัดการถอนเสาหินหลักเขตของจำเลยที่ศาลหมาย ข. ให้พ้นจากเขตที่ของโจทก์และให้จำเลยเสียค่าเสียหายในการตัดต้นไม้ให้โจทก์ 150 บาท
จำเลยอุทธรณ์ว่า จ่าศาลทำแผนที่ไม่ตรงคำท้า
ศาลอุทธรณ์ปรึกษาว่า คู่ความได้ตกลงกันตามรายงานพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2498 ไว้เป็นใจความว่าให้จ่าศาลไปทำแผนที่กำหนดเขตตามผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยถือรูปแผนที่วิวาทในคดีแพ่งเลขแดงที่ 255/2494 ถ้าจ่าศาลไปทำมาตามนี้แล้วคู่ความถือเอาเป็นข้อแพ้ชนะ
เมื่อจ่าศาลไปทำแผนที่กำหนดเขตเสนอต่อศาลแล้ว ได้มีบันทึกประกอบด้วย ความว่า “สำหรับด้านทิศเหนือในแผนที่วิวาทเดิมเป็นเส้นตรงมีต้นไม้ต่าง ๆ เป็นแนวเขต แต่ในขณะนี้ ต้นไม้บางต้นไม่มีบางต้นมีแต่ตอบางชนิดงอกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น เพราะเป็นเวลานาน 6 ปีมาแล้ว จึงทำการรังวัดโดยถือเอาต้นไม้ที่ยังเหลืออยู่เป็นหลักที่ไม่มีก็อาศัยเข็มทิศและแผนที่เดิมเป็นหลัก กับตรงตอนที่ต่อกับที่ดินนางแหยม ๆ ว่ากอไผ่งอกรุกล้ำเข้าไปในที่นางแหยม ซึ่งคู่ความก็รับว่าจริงจึงได้ถือเอาตรงที่เสาหินตามที่รับรองกัน”
“สำหรับทางด้านทิศตะวันออกปรากฏว่า มีต้นไม้ต่าง ๆ เป็นคันเขตตรงกับในแผนที่เดิม เว้นแต่ต้นมะพลับต้นเดียวที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในคำพิพากษาศาลมิได้กล่าวไว้ชัดแจ้ง แต่ในแผนที่เดิมเขียนไว้ตรงมุมเขตที่โจทก์จำเลยติดต่อกัน จึงถือเอาต้นมะพลับเป็นมุมเขตและรังวัดจากต้นมะพลับเป็นจุดแรกตรงไปหาต้นข่อยแล้วต้นไม้อื่นต่อไปตามลำดับที่ปรากฏในแผนที่เดิมเสาหินที่จำเลยนำเจ้าพนักงานรังวัดไปปักนั้นเลยจากต้นมะพลับไปประมาณ 6 ศอก”
“การทำแผนที่กำหนดเขตนี้ ฝ่ายโจทก์เห็นชอบแล้ว ส่วนจำเลยไม่เห็นชอบด้วยตรงที่จากต้นมะพลับมาต้นข่อย ซึ่งจำเลยขอให้ถือจากเสาหินมาต้นข่อย นอกจากนี้จำเลยพอใจแล้ว”
บันทึกของจ่าศาลซึ่งคู่ความลงชื่อไว้แล้วมีดังนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแผนที่วิวาทเดิมกับแผนที่กำหนดเขตของจ่าศาลเทียบเคียงดูแล้วจะเห็นได้ว่าทางด้านทิศเหนือนั้นในแผนที่วิวาทเดิมก็เป็นเส้นตรง แต่ครั้นจ่าศาลไปทำแผนที่รังวัดสอบเขต ก็ไม่อาจที่จะตรงได้ แต่จำเลยคงรับว่าถูกต้อง
ส่วนทางด้านทิศตะวันออก คงมีปัญหาเฉพาะจากต้นมะพลับหรือเสาหิน(หมาย ข. ในแผนที่) ไปหาต้นข่อย หมาย ก. ซึ่งจำเลยโต้แย้งว่าควรถือเสาหินเพราะจะได้เป็นเส้นตรงตลอดแนวตรงตามแผนที่วิวาทเดิมหากถือต้นมะพลับแล้ว จากต้นข่อยไปต้นมะพลับก็จะเป็นเส้นโค้งวกเข้าไปไม่ตรงตามแผนที่เดิม และต้นมะพลับนี้ จำเลยถือว่าไม่ใช่เป็นเขตระหว่างที่โจทก์จำเลยแต่เป็นเขตที่ระหว่างจำเลยกับนางคอน นายเปลื้องต่างหาก
ตามแผนที่วิวาทเดิมนั้น ตรงมุมเขตที่ระหว่างโจทก์จำเลย ทางทิศใต้ซึ่งติดต่อกับที่นางคอน นายเปลื้องด้วย ระบุไว้ชัดว่ามีต้นมะพลับส่วนที่แผนที่เดิมเป็นเส้นตรงนั้น การทำแผนที่ในขณะนั้นอาจจะไม่ละเอียดเช่นที่จ่าศาลไปทำมา จะเห็นได้ว่าทางด้านทิศเหนือก็ไม่เป็นเส้นตรงดังแผนที่เดิม ฉะนั้นทางด้านตะวันออกก็คงอาจผิดพลาดได้เหมือนกัน แต่ข้อสำคัญนั้นอยู่ที่ต้นมะพลับซึ่งได้ระบุไว้ชัดเจนจึงต้องถือต้นไม้นี้เป็นหลักจะถือเอาเส้นตรงตามที่จำเลยอ้างไม่ได้
เมื่อได้พิจารณาถึงข้อความ ซึ่งคู่ความตกลงกันให้จ่าศาลไปทำแผนที่ว่าให้ถือรูปแผนที่เดิมเป็นหลัก ก็พอจะเข้าใจถึงเจตนาของคู่ความได้ว่า ให้ใช้แผนที่เดิมตามสภาพ และหลักฐานที่มีปรากฏอยู่นั้นเอง มิใช่จะต้องถือเป็นเส้นตรงตามแผนที่เดิมทุกประการไม่ เพราะเส้นตรง เส้นโค้งอาจผิดพลาดได้ แต่หลักฐานสำคัญเช่นต้นไม้ถาวรย่อมเป็นหลักที่แน่นอนกว่า ฉะนั้น จึงถือได้ว่าจ่าศาลได้ไปทำแผนที่มาถูกต้องตรงตามคำท้าของคู่ความแล้วจำเลยจะกลับโต้แย้งหาได้ไม่ และเมื่อถือตามแผนที่ของจ่าศาลต้นไม้ที่จำเลยตัดก็เป็นต้นไม้ในที่ดินของโจทก์
ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ตามที่คู่ความท้ากันนั้น เมื่อจ่าศาลไปทำแผนที่วิวาทมาแล้ว จะปิดปากจำเลยมิให้เถียงว่าแผนที่ที่จ่าศาลไปทำมานั้นไม่ถูก คือ ผิดจากแผนที่เดิมจริงได้หรือไม่ ถ้าไม่ปิดปากก็ขอให้ยกฟ้องโจทก์ หรือให้สืบพยานโจทก์จำเลยฟังข้อเท็จจริงว่าแผนที่วิวาทในคดีนี้ทำผิดจากแผนที่เดิมจริงหรือไม่
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว เห็นว่าคดีนี้คู่ความท้ากันว่า ถ้าจ่าศาลไปทำแผนที่กำหนดเขตตามผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โดยถือเอารูปแผนที่พิพาทในคดีนั้นแล้วคู่ความถือเอาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ ฉะนั้น เมื่อจ่าศาลไปทำแผนที่มาแล้วจำเลยคัดค้านว่า จ่าศาลทำแผนที่ไม่ถูกต้องกับรูปแผนที่พิพาทในคดีเดิมประเด็นจึงมีอยู่ว่า จ่าศาลได้ทำแผนที่ถูกต้องกับรูปแผนที่ในคดีเดิมหรือไม่จ่าฯาลได้ยืนยันอยู่ว่าแผนที่ที่ทำมาถูกต้อง กับแผนที่พิพาท ในคดีเดิมแล้วพร้อมกับส่งแผนที่ที่ทำมาเป็นหลักฐานต่อศาล ศาลย่อมมีอำนาจที่จะตรวจดูประกอบกับข้อคัดค้านของจำเลยได้ว่า เท่าที่ปรากฏเห็นได้แล้วหรือยังว่าจ่าศาลได้ไปทำแผนที่มาถูกต้องแล้ว ตามแผนที่พิพาทในคดีเดิมก็ปรากฏชัดอยู่ว่า มุมเขตด้านตะวันออกเฉียงใต้ใช้ต้นมะพลับเป็นหลักเขตจ่าศาลก็ได้ทำแผนที่ตามคำสั่งศาลในคดีนี้ โดยถือต้นมะพลับต้นนั้นเป็นหลักเขตจำเลยเถียงแต่เพียงว่าควรจะเป็นเส้นตรงมายังเสาหินที่จำเลยนำปักขึ้นใหม่อ้างว่าในแผนที่วิวาท ในคดีเดิมรูปแผนที่ด้านตะวันออกนั้นขีดเป็นเส้นตรงศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อการพิจารณาได้ความดังนี้ ข้อโต้แย้งของจำเลยที่ว่าจ่าศาลทำแผนที่ไม่ถูกต้องนั้นจึงไม่มีเหตุผลสนับสนุนที่จะทำให้สงสัยความไม่ถูกต้องแห่งการทำแผนที่ของจ่าศาล เพราะหลักเขต คือ ต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่แน่นอนย่อมถือเป็นยุติได้ยิ่งกว่าข้อเถียงเรื่องเส้นตรงเส้นโค้งในแผนที่ที่มาตราส่วนเล็กใหญ่กว่ากัน หรือการที่ผู้ทำแผนที่ไปทำกันทีละคราวคนละคน เมื่อคดีฟังได้เช่นนี้ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะงดการสืบพยานหลักฐานที่ไม่อาจทำให้คดีจำเลยดีขึ้นได้ นอกจากจะประวิงให้ชักช้าเพราะหลักฐานเท่าที่ปรากฏเชื่อฟังเป็น ยุติได้แล้ว ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ชอบแล้ว ให้ยกฎีกาจำเลย และให้จำเลยเสียค่าทนายความในชั้นนี้แทนโจทก์อีก 50 บาทด้วย