แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 มีมารดาเป็นไทยและเกิดในประเทศไทยย่อมมีสัญชาติเป็นไทยแม้จะมีบิดาเป็นคนต่างด้าว และถ้าหากบิดาของจำเลยที่ 2 ได้แปลงชาติเป็นไทยแล้วขณะที่จำเลยที่ 2 สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่ถือว่าจำเลยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวขณะที่ทำการสมัคร จะขอให้เพิกถอนการเลือกตั้งไม่ได้
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ผู้ร้อง ร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ โดยโจทก์ร้องว่าเป็นผู้เลือกตั้งในเขตเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ ่เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วไปตามกฤษฎีกาลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๐๐ การเลือกตั้งครั้งนั้นนายไกรสร ตันติพงษ์ ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ด้วยเหตุที่จำเลยที่ ๑ รับสมัครของจำเลยที่ ๒ เพราะจำเลยที่ ๒ พรางความจริงในเรื่องที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวไว้ ตามพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙ บัญญัติไว้ว่าผู้ที่มีบิดาเป็นคนต่างด้าวจะต้องมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขในมาตรา ๑๗(๑) ก ๑,๒ และ ๓ ด้วย นอกจากจะมีความรู้มัธยม ๖ แล้ว จะต้องเคยรับราชการทหาร เคยเป็นหรือเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาอื่น หรือตำแหน่งที่กำหนดไว้ แต่จำเลยที่ ๒ มิได้มีคุณสมบัติเหล่านี้ และแม้ว่าบิดาจำเลยได้สัญชาติไทยโดยการแปลงชาติแล้ว แต่ตามพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๔๙๕ ม.๑๒ บัญญัติว่า การแปลงชาติเป็นไทยให้มีผลเฉพาะตัว จึงไม่ทำให้จำเลยที่ ๒ ได้รับผลอย่างใดตามบิดา และคงได้ชื่อว่าบิดาเป็นคนต่างด้าวอยู่ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจำเลยที่ ๒ เสีย และให้มีการเลือกตั้งใหม่
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ต้องกันใจความว่าจำเลยเกิดในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยมารดาเป็นคนไทย ส่วนบิดานั้นเดิมเป็นคนต่างด้าวก็จริง แต่เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๖ ได้สัญชาติไทยโดยการแปลงชาติ ในเวลายื่นใบสมัครรับเลือกตั้งจำเลยที่ ๒ และบิดาจำเลยที่ ๒ มิได้เสียสัญชาติไทย จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องพิจารณาตาม มาตรา ๑๗(๑) ก ๑-๒-๓ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๒ สอบไล่ได้มัธยมปีที่ ๖ และได้รับเกณฑ์ทหาร แต่หากยังไม่ได้เข้าประจำการเพราะจับสลากไม่ได้ จึงขอให้ยกคำร้องของโจทก์
คู่ความรับกันว่าจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรบิดาคนจีน ต่อมา พ.ศ.๒๔๙๖ บิดาได้ขอแปลงชาติเป็นไทยมาจนบัดนี้ จำเลยที่ ๒ สำเร็จมัธยม ๖ และเคยถูกเกณฑ์ทหาร แต่ยังไม่เคยเข้าประจำการ จำเลยไม่เคยมีคุณสมบัติตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๗(๑) (ก) ๒ และ ๓ และขอให้ศาลวินิจฉัยโดยไม่สืบพยาน โดยศาลชั้นต้นทำความเห็นส่งมาศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ มิได้อ้างเหตุที่คัดค้านว่าจำเลยที่ ๒ มิได้มีมารดาเป็นไทย และมิได้เกิดในประเทศไทย ฉะนั้นไม่ว่าจะโดย พ.ร.บ.สัญชาติฉบับใด จำเลยที่ ๒ ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด และต่อมาจำเลยที่ ๒ ก็มิได้แปลงชาติเป็นจีนตามบิดา จึงไม่ขาดคุณสมบัติดังคำร้องโจทก์