คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 58/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋ง รถจักรยานยนต์ล้มทับขาผู้เสียหายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมามีเจตนาจะลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาแต่แรก จึงใช้อุบายทำทีเข้าช่วยเหลือหลอกลวงว่าจะพาไปส่งบ้าน ขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย โดยจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์มีผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายตามกันไป การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอน แม้ว่าเมื่อถึงบริเวณทางแยก จำเลยที่ 2จะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายลับสายตาไปแล้ว แต่ผู้เสียหายยังไม่ละการติดตามโดยบอกจำเลยที่ 3 ให้หยุดรถเพื่อแจ้งศูนย์วิทยุติดตามจำเลยที่ 2 อีกทางหนึ่ง ทั้งคนร้ายคือจำเลยที่ 3 ก็ยังอยู่กับผู้เสียหาย การที่จำเลยที่ 3 ใช้กำลังประทุษร้ายโดยใช้ศอกตวัดกระแทกผู้เสียหายตกจากรถจักรยานยนต์ก็เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป และกรณีไม่ใช่การกระทำของจำเลยที่ 3 โดยลำพัง เพราะพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับมายังจุดที่นัดหมายกันไว้ ย่อมเป็นการแสดงชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกระทำด้วย จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชิงทรัพย์รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กยน สุพรรณบุรี 125 จำนวน 1 คัน ราคา 45,000บาท ของนางสาวกาญจนิตย์ เมืองวงษ์ ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายแสงพล ทองนวล ผู้เสียหายที่ 2 โดยในการชิงทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไปเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ หรือให้พ้นจากการจับกุม โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้รถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน กคย ปทุมธานี 38 เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดพาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุม ต่อมาระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2543 เวลากลางคืนหลังเที่ยงติดต่อกันวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ 1 ได้รับไว้ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งฝาข้างรถจักรยานยนต์ 2 อัน ราคา 800 บาท และอกไก่รถจักรยานยนต์ 2 อัน ราคา 1,200 บาทอันเป็นส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ที่ถูกชิงเอาไป โดยจำเลยที่ 1รู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต่อมาเจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมฝาข้างรถจักรยานยนต์ 2 อัน และอกไก่รถจักรยานยนต์ 2 อันเป็นของกลาง และจับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้พร้อมรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียนกคย ปทุมธานี 38 ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง และเจ้าพนักงานยังยึดเครื่องยนต์ 1 เครื่อง โช้กอัพรถจักรยานยนต์ 1 คู่ โครงรถจักรยานยนต์ท่อนหน้า 1 คู่ ท่อนท้าย 1 คู่ และเรือนไมล์ 1 ชุด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ที่ถูกชิงไป ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันนำไปซุกซ่อนไว้เป็นของกลางก่อนคดีนี้จำเลยที่ 2 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 12 เดือน ข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2027/2542 ของศาลชั้นต้นแล้วกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายในเวลา 5 ปีนับแต่วันพ้นโทษ และเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1547/2543 ของศาลชั้นต้น ภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษจำคุก จำเลยที่ 2 กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีกส่วนจำเลยที่ 3 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ข้อหามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2033/2542 ของศาลชั้นต้น ภายในกำหนดเวลาที่ศาลรอการลงโทษ จำเลยที่ 3 กลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83, 92, 339, 340 ตรี, 357 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยน สุพรรณบุรี 125 จำนวน 1 คัน ราคา 25,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมายกับบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1547/2543 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ และบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2033/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและบวกโทษ ส่วนจำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 18 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 24 ปี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี จำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 ปี บวกโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1547/2543 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 12 ปี 6 เดือน และให้บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2033/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้รวมจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 9 ปี 6 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันคืนหรือใช้ราคารถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยนสุพรรณบุรี 125 เป็นเงิน 25,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวิ และจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 อีกกระทงหนึ่ง ฐานลักทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไปลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 3 ปี ฐานทำร้ายร่างกายลงโทษจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้วจำคุก 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 3 ปี1 เดือน จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน 15 วัน บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1547/2543 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 3 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2033/2542 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ เป็นจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน 15 วัน คำขอของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ทวิ (ที่ถูก 340 ตรี)ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ในวันเวลาและสถานที่ตามฟ้องผู้เสียหายที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 เฉี่ยวชนรถยนต์เก๋ง รถจักรยานยนต์ล้มทับขาผู้เสียหายที่ 2 รถยนต์เก๋งขับหลบหนี จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาด้วยเจตนาทุจริตจะเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 จึงทำทีเข้าช่วยเหลือจำเลยที่ 2 ยกรถจักรยานยนต์ขึ้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 บอกว่าจะช่วยพาไปส่งบ้าน ให้ผู้เสียหายที่ 2 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เป็นคนขับตามหลังรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ขับนำหน้า เมื่อจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์ไปถึงทางแยกเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำเลยที่ 3 ชะลอความเร็วรถจักรยานยนต์แล้วใช้ศอกตวัดกระแทกผู้เสียหายที่ 2 ตกจากรถจักรยานยนต์ จำเลยทั้งสองหลบหนีไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาที่จะลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 มาแต่แรก จึงใช้อุบายทำทีเข้าช่วยเหลือหลอกลวงว่าจะพาไปส่งบ้าน ขณะที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1โดยจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์มีผู้เสียหายที่ 2 นั่งซ้อนท้ายตามกันไป การลักทรัพย์ยังไม่ขาดตอน แม้ว่าเมื่อถึงที่เกิดเหตุตรงทางแยก จำเลยที่ 2 จะขับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ 1 ลับสายตาไปแล้ว แต่ผู้เสียหายที่ 2 ยังไม่ละการติดตาม เห็นได้จากผู้เสียหายที่ 2 บอกจำเลยที่ 3 ให้หยุดรถเพื่อแจ้งศูนย์วิทยุติดตามจำเลยที่ 2 อีกทางหนึ่งอีกทั้งคนร้ายคือ จำเลยที่ 3 ก็ยังอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 การที่จำเลยที่ 3 ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายที่ 2 ก็เพื่อความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป และไม่ใช่การกระทำของจำเลยที่ 3 โดยลำพัง แต่จำเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกระทำด้วย หลักฐานตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เอกสารหมาย จ. 27 ซึ่งจำเลยที่ 2ให้การต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ย้อนกลับบริเวณตรงทางแยกเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นจุดที่นัดหมายกันไว้ แสดงได้ชัดแจ้งว่าร่วมกันกระทำผิด จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share