คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5794/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน และพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางนับแต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพบนายดาบตำรวจ พ. กับพวกซึ่งปลอมตัวเป็นผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนที่จุดนัดพบ เมื่อนายดาบตำรวจ พ. ขอให้จำเลยที่ 1 ไปส่งมอบเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ก็ได้ร่วมเดินทางตามไปด้วย และขณะที่จำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนออกมาส่งมอบให้นายดาบตำรวจ พ. ตรวจนับ จำเลยที่ 3 ก็ได้นั่งล้อมวงดูอยู่ด้วย และขณะนายดาบตำรวจ พ. นับไปได้ 4 ถึง 5 เม็ด จำเลยที่ 3 ยังพูดรับรองว่าไม่ต้องนับหรอก ของที่เอามาเต็มจำนวน 200 เม็ด เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่า จำเลยที่ 3 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตั้งแต่ต้น แม้จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวด้วยตนเองก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์

จำเลยทั้งสามรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย) จำคุกคนละ 18 ปีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง และคำให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 9 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 12 ปีริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามและยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 401 เม็ด น้ำหนัก 36.30 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 11.06 กรัม ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นของกลาง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจพิชิต บุตรโพธิ์ จ่าสิบตำรวจธงชัยสาเหง้า และร้อยตำรวจโทวิชาญ ภาวโคตร ผู้ร่วมจับกุมเป็นพยานเบิกความประกอบกันว่า ก่อนจับกุมจำเลยทั้งสาม นายดาบตำรวจพิชิตได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยที่ 1 ติดต่อสายลับว่ามีเมทแอมเฟตามีนจะจำหน่ายจำนวน2,000 เม็ด ให้ช่วยหาคนซื้อ โดยจำเลยที่ 1 จะนำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบให้ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2541 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา ที่บริเวณหน้าโรงเรียนเซนต์แมรี่ จึงรายงานต่อร้อยตำรวจโทวิชาญ ร้อยตำรวจโทวิชาญได้วางแผนจับกุมโดยให้นายดาบตำรวจพิชิตและจ่าสิบตำรวจธงชัยปลอมตัวเป็นผู้ซื้อไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 ต่อมาในวันดังกล่าวนายดาบตำรวจพิชิต จ่าสิบตำรวจธงชัยและสายลับไปรอพบจำเลยที่ 1 ที่บริเวณหน้าโรงเรียนดังกล่าวตั้งแต่เวลาประมาณ 10 นาฬิกา จนกระทั่งเวลา 11.30 นาฬิกา จำเลยทั้งสามเดินทางไปถึงจุดนัดพบ โดยจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะมิตซูบิชิ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั่งมาในรถยนต์กระบะอีซูซุมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขับ นายดาบตำรวจพิชิตขอให้จำเลยที่ 1 ไปส่งมอบเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นสายลับไปนั่งรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 1 นายดาบตำรวจพิชิตและจ่าสิบตำรวจธงชัยขับรถยนต์กระบะไปที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุในซอยกำนัน 1 แล้วเข้าไปรออยู่ในบ้าน ต่อมาประมาณ10 นาที จำเลยทั้งสามและสายลับก็ตามมาถึงและได้เข้าไปในบ้าน จำเลยที่ 1 บอกนายดาบตำรวจพิชิตว่ามีเมทแอมเฟตามีนเพียง 400 เม็ด จะขายเป็นถุง ถุงละ 200 เม็ด ราคาถุงละ 12,000 บาทนายดาบตำรวจพิชิตตกลงซื้อ แต่ขอนับดูก่อน จำเลยที่ 1 ล้วงเอาเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 ถุง จากกระเป๋ากางเกงมอบให้นายดาบตำรวจพิชิตนับ โดยจำเลยทั้งสามนั่งล้อมวงดูอยู่ ขณะนับไปได้ 4 ถึง 5 เม็ด จำเลยที่ 3 พูดว่าไม่ต้องนับหรอกของที่เอามาเต็มจำนวน 200 เม็ด จำเลยที่ 2 พูดเสริมว่าของที่เอามาไม่ขาดนายดาบตำรวจพิชิตจึงหยุดนับและพูดว่าเชื่อใจกัน ขณะเดียวกันจ่าสิบตำรวจธงชัยส่งสัญญาณวิทยุสื่อสารให้ร้อยตำรวจโทวิชาญกับพวกซึ่งซุ่มรออยู่ที่บริเวณหลังบ้านทราบ ร้อยตำรวจโทวิชาญกับพวกรับสัญญาณดังกล่าวแล้วได้เข้าไปในบ้านและแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสามพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 400 เม็ด กับรถยนต์กระบะทั้งสองคันที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ขับมาดังกล่าว และเมทแอมเฟตามีนอีก 1 เม็ด ซึ่งตรวจค้นพบในรถยนต์กระบะคันที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของกลางส่งพนักงานสอบสวน ชั้นจับกุมแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 3 ว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และโจทก์มีร้อยตำรวจเอกอัครศร ศรีสุพัฒน์ พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่าชั้นสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 3 เช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยที่ 3 ก็ให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.6 จ.9 และภาพถ่ายหมาย จ.10 เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสี่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติการไปตามหน้าที่และไม่เคยรู้จักจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยที่ 3 ทั้งพยานผู้ร่วมจับกุมต่างเบิกความได้สอดคล้องต้องกันในส่วนสาระสำคัญโดยตลอดทุกลำดับขั้นตอน เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสี่เบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และทำบันทึกการจับกุมกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 ไปตามที่จำเลยที่ 3 ให้การ ที่จำเลยที่ 3 นำสืบต่อสู้อ้างว่าในชั้นจับกุมจำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจทำร้ายจึงยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีเหตุผลให้เชื่อถือ เพราะในชั้นสอบสวนซึ่งไม่มีใครทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็ยังลงลายมือชื่อรับสารภาพ ซึ่งแม้จะปรากฏตามคำให้การดังกล่าวว่า จำเลยที่ 3 อ้างว่าพบจำเลยที่ 1 โดยบังเอิญและเพิ่งรู้จักกันในวันเกิดเหตุ แต่จากพฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลาง นับแต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพบนายดาบตำรวจพิชิตกับพวกที่จุดนัดพบหน้าโรงเรียนเซนต์แมรี่ เมื่อนายดาบตำรวจพิชิตขอให้จำเลยที่ 1 ไปส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายดาบตำรวจพิชิตที่บ้านเช่าที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 3 ก็ได้ร่วมเดินทางตามไปที่บ้านดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่เข้าไปอยู่ในบ้าน เมื่อจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนออกมาส่งมอบให้นายดาบตำรวจพิชิต ตรวจนับดูว่าครบจำนวนที่จะซื้อขายกันหรือไม่ จำเลยที่ 3 ก็ได้นั่งล้อมวงดูอยู่ด้วยและขณะนายดาบตำรวจพิชิตนับไปได้ 4 ถึง 5 เม็ด จำเลยที่ 3 ยังพูดรับรองว่า ไม่ต้องนับหรอกของที่เอามาเต็มจำนวน 200 เม็ด นายดาบตำรวจ พิชิตจึงหยุดนับและพูดว่าเชื่อใจกัน หลังจากนั้นจำเลยที่ 3 จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นโดยชัดเจนว่า จำเลยที่ 3 ได้รู้เห็นและมีเจตนาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตั้งแต่ต้น แม้จะมิได้เป็นผู้ครอบครองเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวด้วยตนเองก็ตาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามฟ้อง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 3 ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ และเห็นว่าโทษที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไม่เกินอัตราโทษตามกฎหมายเพราะมิใช่ความผิดตามมาตรา 67 ดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกา ทั้งเป็นการใช้ดุลพินิจในการลงโทษจำเลยที่ 3 เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share