คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3977/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การฟ้องคดีในความผิดฐานลักทรัพย์ โดยปกติจะต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ แต่ถ้า ไม่อาจทราบตัวเจ้าทรัพย์ที่แน่นอนได้ก็ไม่ต้องระบุชื่อ เจ้าทรัพย์ เพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องในคดีความผิดฐานลักทรัพย์โดยมิได้ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วก็พอจะทราบได้ว่าผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของทรัพย์คือผู้ใด โดยปรากฏชื่อ เจ้าของทรัพย์อยู่ในคดีขอฝากขัง ซึ่งจำเลยน่าจะเข้าใจได้ดีว่าทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นของผู้ใด ฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงสมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158(5).

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335,357 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2525 มาตรา 11
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 357 ให้จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ฟ้องต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆอีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ในคดีความผิดฐานลักทรัพย์ ตามลักษณะของความผิดจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น มิใช่เป็นของผู้กระทำผิดนั้นเองโดยปกติฟ้องย่อมต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เพื่อจำเลยและต่อสู้คดีได้แต่กฎหมายก็มิได้บังคับเด็ดขาดว่าต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เสมอไปเช่นในกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าของทรัพย์ที่แน่นอนได้ โดยเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ก็เป็นการเพียงพอแล้ว คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น คงขาดแต่ชื่อของเจ้าของทรัพย์เท่านั้น แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดก็พอจะทราบได้ว่าผู้เสียหายที่เป็นเจ้าของทรัพย์คือผู้ใดเพราะในตอนท้ายฟ้องได้กล่าวไว้ด้วยว่า ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวตั้งแต่วันถูกจับตลอดมา ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลชั้นต้น ในคดีหมายเลขดำที่ พ. 171/2527 ซึ่งพออนุโลมได้ว่าเป็นส่วนประกอบของคำฟ้อง และปรากฏว่าคดี (อาญา) หมายเลขดำที่พ. 171/2527 ได้ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ไว้ด้วย จำเลยน่าจะเข้าใจได้ดีว่าทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องเป็นของผู้ใด ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้วฎีกาของโจทก์ในปัญหานี้ฟังขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่เพื่อให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นไปตามลำดับศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหาข้อเท็จจริงตามที่โจทก์อุทธรณ์ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.

Share