คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยและผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์อายุเกินสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีโดยจำเลยขับรถพาผู้เสียหายไป เมื่อจำเลยจอดรถแล้วบังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้า ผู้เสียหายไม่ยอมถอดจำเลยบอกว่าหากไม่ถอดจะยัดเยียดข้อหายาบ้าให้และต่อมาจำเลยหยิบอาวุธปืนมาขู่ ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงยอมให้จำเลยกระทำชำเรา แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนจนผู้เสียหายเกิดความกลัวเท่านั้น ส่วนอาวุธปืนที่ใช้ขู่ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ หรือไม่ และตามผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าอาวุธปืนของกลางเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนพกอัดลมชนิดใช้ยิงกับลูกกระสุนพลาสติกทรงกลมขนาด 6 มม. ซึ่งใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุไม่ได้ มิใช่อาวุธปืนตาม พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคหนึ่ง มิใช่วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ , ๘๓ , ๙๑ , ๑๔๕ , ๒๗๖ , ๒๘๔ , ๓๑๐ , ๓๑๗ , ๓๑๘ พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๔ , ๖ , ๒๓ ริบรถยนต์ ปืนอัดลมพลาสติก ซองหนังของกลาง ส่วนเครื่องวิทยุคมนาคมของกลาง ขอให้ริบเพื่อไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๕ วรรคแรก , ๒๗๖ วรรคสอง , ๒๘๔ วรรคแรก , ๓๑๐ วรรคแรก , ๓๑๗ วรรคสาม , ๓๑๘ วรรคสาม พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๖ , ๒๓…
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราโดยมีหรือใช้อาวุธปืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง หรือไม่ โจทก์มีนางสาวสุรีพร สุกรรม ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุเกินสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี เบิกความว่า จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภรรยาของจำเลย โดยบริเวณที่จำเลยขับรถพาไปห่างจากถนนไกลมากและบริเวณดังกล่าวมืด เมื่อจำเลยจอดรถแล้ว บังคับให้ผู้เสียหายถอดเสื้อผ้า ผู้เสียหายไม่ยอมถอด จำเลยบอกว่าหากไม่ถอดจะยัดเยียดข้อหายาบ้าให้ ผู้เสียหายจึงยอมถอด แต่ไม่ยอมถอดเสื้อยกทรง จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนจากเอวขึ้นมาขู่จนผู้เสียหายต้องยอมถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด จำเลยพยายามข่มขืนผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ยินยอม ต่อมาจำเลยหยิบอาวุธปืนมาขู่อีกว่าจะยอมหรือจะให้ทำร้าย ผู้เสียหายเกิดความกลัวจึงยอมให้จำเลยกระทำชำเรา เห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะเบิกความเพื่อกลั่นแกล้งใส่ร้ายจำเลย ทั้งส่วนที่จำเลยอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมก็ไม่มีเหตุผล จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะยินยอมให้จำเลยกระทำชำเราดังที่จำเลยอ้าง ข้ออ้างของจำเลยที่อ้างว่าผู้เสียหายยินยอมจึงฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า การข่มขืนกระทำชำเราดังกล่าวได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนอันเป็นเหตุให้จำเลยรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสองหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยได้ใช้อาวุธปืนขู่ผู้เสียหายไม่ให้ขัดขืนจนผู้เสียหายเกิดความกลัว แต่อาวุธปืนที่ใช้ขู่ โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าเป็นอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ หรือไม่ แต่โจทก์ได้ส่งผลการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนของกลางที่พนักงานสอบสวนส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองกำกับการวิทยาการเขต ๑ ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์แล้วกองกำกับการวิทยาการเขต ๑ มีความเห็นว่า อาวุธปืนของกลางเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนพกอัดลมชนิดใช้ยิงกับลูกกระสุนพลาสติกทรงกลมขนาด ๖ มม. ซึ่งใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุไม่ได้ตามเอกสารหมาย จ. ๒๑ ดังนั้น อาวุธปืนของกลางที่ส่งไปตรวจพิสูจน์ซึ่งตามคำฟ้องระบุว่าเป็นอาวุธปืนที่จำเลยใช้ขู่ผู้เสียหาย อาวุธปืนดังกล่าวก็มิใช่อาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ แต่เป็นสิ่งเทียมอาวุธปืนเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัย จึงเห็นสมควรปรับบทลงโทษและกำหนดโทษเสียใหม่ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง ให้ลงโทษสำหรับความผิดฐานนี้ จำคุก ๑๒ ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๙ ปี เมื่อรวมกับโทษความผิดกระทงอื่นแล้ว รวมจำคุก ๒๔ ปี ๙ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑.

Share