แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเช่าที่ดินเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินมีข้อความระบุว่า ผู้เช่ายอมเสียค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท การที่โจทก์สืบพยานบุคคลว่าเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2535ถึงเดือนสิงหาคม 2536 เดือนละ 8,000 บาท เป็นค่าเช่าที่แท้จริง เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือสัญญาเช่า ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคแรก เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การ ของจำเลยรับกันว่า สัญญาเช่ารายนี้กำหนดค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท จำเลยชำระให้โจทก์เกินจากค่าเช่าตามสัญญา ซึ่งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระเกินเป็นเงินค่ากินเปล่าล่วงหน้าแล้ว จึงต้องถือว่า จำเลยชำระเงิน ให้แก่โจทก์เช่นนั้นเป็นการกระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งเพื่อ ชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 จำเลยจึงไม่มีสิทธิ ที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 27151 และ 27176 ตำบลบางคอแหลมอำเภอยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 143,667 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 10,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์คืนเงินจำนวน 117,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 17,240 บาท แก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน117,560 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระแล้วเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยชำระเงินส่วนที่เกินจากค่าเช่าตามสัญญาไม่ใช่เงินกินเปล่าล่วงหน้า จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาจากโจทก์นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า การเช่าที่ดินเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้เมื่อสัญญาเช่าที่ดินเอกสารหมาย จ.4 และ ล.3 มีข้อความตรงกันระบุว่า ผู้เช่ายอมเสียค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท การที่โจทก์สืบพยานบุคคลว่าเงินที่จำเลยชำระให้โจทก์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2535ถึงเดือนสิงหาคม 2536 เดือนละ 8,000 บาท เป็นค่าเช่าที่แท้จริงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในหนังสือสัญญาเช่าต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคแรก เมื่อปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยรับกันว่าสัญญาเช่ารายนี้กำหนดค่าเช่าเดือนละ 1,200 บาท จำเลยชำระให้โจทก์เกินจากค่าเช่าตามสัญญา ซึ่งข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระเกินเป็นเงินค่ากินเปล่าล่วงหน้าแล้ว จึงต้องถือว่า จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เช่นนั้นเป็นการกระทำตามอำเภอใจเหมือนหนึ่งเพื่อชำระหนี้โดยรู้อยู่ว่าไม่มีความผูกพันที่ต้องชำระ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 407 จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวคืน
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น