คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้อ้างต้นฉบับเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่จำเลยได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์เป็นพยานต่อศาลทั้งโจทก์นำพนักงานโจทก์มาสืบเป็นพยานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวไว้ชัดแจ้งแล้ว พยานเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93 ส่วนความไม่ถูกต้องในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยมิใช่เป็นกรณีเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน เพียงแต่หลักฐาน ที่นำมาคำนวณโต้แย้งสิทธิของจำเลย ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากศาลพิพากษาไปอาจเป็นโทษ แก่จำเลยได้และภาระในการคำนวณยอดหนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และให้โอกาสโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่นั้นจึงเป็นคุณแก่จำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,272,938.05 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 1,269,182.67 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยไม่ถูกต้อง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยส่วนนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารโจทก์เพื่อเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 และจำเลยได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์ในจำนวนเงิน 1,000,000 บาทยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี และยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ในยอดหนี้ที่เกินจำนวนเงิน 1,000,000 บาท ทั้งยินยอมให้โจทก์หักชำระหนี้จากบัญชีเงินฝากออกทรัพย์ของจำเลยได้ โดยมีกำหนดเวลาชำระหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 เมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยต้องชำระหนี้ดังกล่าวจำเลยยังเป็นลูกหนี้โจทก์ปรากฏตามการ์ดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน เอกสารหมาย จ.9 คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์มาฟ้องใหม่ชอบหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาอ้างเหตุว่า ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์จากบัญชีที่เห็นว่าคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้อง โดยมิได้วินิจฉัยว่า บัญชีเงินฝากกระแสรายวันตามเอกสารหมาย จ.9 ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามกฎหมาย เพราะไม่มีพยานยืนยันความถูกต้องแท้จริง จึงเท่ากับว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบพยานในประเด็นข้อพิพากษาศาลจะยกฟ้องโจทก์ในคดีนี้เสียทั้งหมด และเป็นกรณีที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจได้นั้น เห็นว่า ตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยและดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดนั้น โจทก์ได้อ้างต้นฉบับเอกสารซึ่งเป็นหลักฐานแห่งหนี้ที่จำเลยได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์เป็นพยานต่อศาล อีกทั้งโจทก์นำสืบพยานบุคคล นายมณฑล อ่วมเทศ และนางสาวสุมลมาลย์ ชวายน พนักงานโจทก์เป็นพยานเบิกความเกี่ยวกับเอกสารหมาย จ.9 ไว้ชัดแจ้งแล้ว พยานเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ซึ่งโจทก์ได้นำสืบและพิสูจน์จำนวนหนี้ของจำเลยแล้วแต่ไม่ถูกต้องในการคำนวณอัตราดอกเบี้ย กำหนดวันเวลาคำนวณดอกเบี้ยทบต้นทำให้ยอดหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระต่อโจทก์ต่างจากคำฟ้องซึ่งทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสตรวจสอบโต้แย้งได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยเอกสารหมาย จ.9ตามที่จำเลยฎีกาหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไปกรณีเป็นเพียงยอดหนี้ไม่ถูกต้องตามข้อตกลงในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเท่านั้น อีกทั้งจำเลยก็มิได้ให้การต่อสู้คดีถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารหมาย จ.9 ไว้แต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยให้ตามประเด็นแห่งคดีไม่มีประเด็นว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ เมื่อปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หาใช่เป็นกรณีเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน เพียงแต่หลักฐานที่นำมาคำนวณโต้แย้งสิทธิของจำเลยไม่ถูกต้อง ซึ่งหากศาลพิพากษาไปอาจเป็นโทษแก่จำเลยได้ และภาระในการคำนวณยอดหนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องและให้โอกาสโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่นั้นจึงเป็นคุณแก่จำเลย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share