แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายพูดกับจำเลยทำนองว่าจำเลยไม่สามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้เช่นเดียวกับผู้เสียหาย เป็นการพูดทำนองเสียดสีจำเลย ตามประสาของผู้ที่เคยมีสาเหตุกันมาก่อน แม้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหายจึงอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 60, 80, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การต่อสู้ว่ากระทำไปโดยบันดาลโทสะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 60 (ที่ถูกมาตรา 288 ประกอบมาตรา 60 และ 288 ประกอบมาตรา 80), 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฆ่าผู้อื่นโดยพลาด เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 60 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 15 ปี รวมจำคุก 16 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปี 3 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยมีอาวุธปืนพกออโตเมติกขนาด .25 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนภายในหมู่ที่ 3 ตำบลเกาะจันทร์ กิ่งอำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายคำรณผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลเอกสารหมาย จ.3 โดยกระสุนปืน 1 นัด พลาดไปถูกเด็กหญิงยุวดีบุตรผู้เสียหายถึงแก่ความตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพเอกสารหมาย จ.2 ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยพลาดและความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายคำรณผู้เสียหายและนางพยอมภริยาผู้เสียหาย เบิกความว่า ขณะที่ผู้เสียหาย นางพยอม เด็กชายเกรียงไกรและเด็กหญิงยุวดีผู้ตาย นั่งรับประทานอาหารที่ห้องครัวชั้นล่างของบ้าน จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย กระสุนปืนถูกผู้เสียหายและพลาดไปถูกผู้ตาย ส่วนจำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายติดต่อทางโทรศัพท์กับจำเลยโดยผู้เสียหายพูดว่า กูซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่มา 1 คัน มึงไม่มีปัญญาซื้ออย่างกูหรอก มึงเกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ เดี๋ยวกูจะขับรถจักรยานต์คันใหม่ไปให้มึงดู จำเลยจึงเดินออกไปที่หน้าบ้าน ผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์คันใหม่มาจอดอยู่ที่หน้าบ้าน และตะโกนว่า น้องมึงไม่มีปัญญาอย่างกูหรอก ได้เกาะพ่อแม่กิน งานการก็ไม่ยอมทำ จำเลยจึงเข้าไปในบ้านแล้วหยิบอาวุธปืนไปยิงผู้เสียหาย เห็นว่า คำเบิกความของผู้เสียหายและนางพยอมดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายเพราะเหตุใด จึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายโดยไม่มีสาเหตุกัน ได้ความจากคำเบิกความตอบคำถามค้านของผู้เสียหายว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้ติดต่อทางโทรศัพท์กับจำเลยเรื่องการย้ายบ้าน ผู้เสียหายเคยมีปากเสียงกับจำเลยเกี่ยวกับการทำงาน บิดามารดาของจำเลยเคยปรับความเข้าใจระหว่างผู้เสียหายกับจำเลย ผู้เสียหายเคยพูดคุยกับจำเลยและอบรมสั่งสอนในฐานะพี่น้อง แสดงให้เห็นได้ว่าผู้เสียหายกับจำเลยเคยมีสาเหตุกันมาก่อน และนายหยดพยานโจทก์ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยเบิกความว่า หลังเกิดเหตุจำเลยบอกว่าผู้เสียหายติดต่อทางโทรศัพท์กับจำเลยและท้าทายจำเลย เชื่อได้ว่าเหตุที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายน่าจะมีสาเหตุดังที่จำเลยนำสืบ แต่อย่างไรก็ตาม จำเลยให้การชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.11 มีรายละเอียดว่า ผู้เสียหายติดต่อทางโทรศัพท์พูดกับจำเลยในลักษณะพูดดูถูกถากถางทำนองว่าจำเลยไม่มีปัญญามีทรัพย์สินเป็นของตนเองเหมือนผู้เสียหายและผู้เสียหายพูดว่าสามารถหมุนเงินมาซื้อรถจักรยานยนต์ได้เพิ่มอีก 1 คัน โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายพูดว่าจำเลยเกาะพ่อแม่กินซึ่งขัดแย้งกับคำเบิกความของจำเลย จำเลยให้การดังกล่าวในวันเกิดเหตุจึงเชื่อว่าจำเลยให้การตามความเป็นจริงยิ่งกว่าคำเบิกความ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายพูดกับจำเลยทำนองว่าจำเลยไม่สามารถซื้อรถจักรยานยนต์ได้เช่นเดียวกับผู้เสียหาย ถ้อยคำที่ผู้เสียหายพูดกับจำเลยดังกล่าวเป็นการพูดทำนองเสียดสีจำเลย ตามประสาของผู้ที่เคยมีสาเหตุกันมาก่อน แม้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการข่อเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยมีความโกรธแค้นและทำร้ายผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องเชื่อมโยงติดต่อกัน จำเลยจะมาอ้างว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามกฎหมายหาได้ไม่”
พิพากษายืน