คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5761/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินพิพาทมี ท. เป็นผู้แจ้งการครอบครองกับเป็นเจ้าของที่ดิน โจทก์เคยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทมาครั้งหนึ่งแล้ว ท. ร้องคัดค้านว่าเป็นของตน ศาลชั้นต้นก็ฟังข้อเท็จจริงว่า บ้านที่ยึดปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวของ ท. โดยจำเลยกับสามีอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว บ้านเป็นของ ท. และพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวว่า ท. มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เมื่อ ท. ถึงแก่ความตายเป็นผลให้ที่ดินและบ้านที่โจทก์ประสงค์จะนำยึดเป็นมรดกตกทอดแก่พ. ซึ่งเป็นบุตร นับแต่วันที่ ท. ตายและมิใช่สินสมรสของ พ. กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะงดเว้นยึดทรัพย์สินนั้นและร้องขอต่อศาลให้กำหนดการใด ๆ เพื่อมิให้ตนต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียม แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 54 หมู่ที่ 3 (เดิมเป็นหมู่ที่ 1) ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีนางทาบ สีเมฆ มารดาของนายไพฑูรย์ สีเมฆ สามีของจำเลยเป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ดังกล่าว นางทาบถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2537 ที่ดินและบ้านดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่นายไพฑูรย์และเป็นสินส่วนตัวของนายไพฑูรย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงงดเว้นยึดทรัพย์ดังกล่าวและขอให้ศาลชั้นต้นปลดเปลื้องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปลดเปลื้องความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านเลขที่ 54 หมู่ที่ 1ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี นางทาบ สีเมฆ ยื่นคำร้องขอว่าบ้านดังกล่าวเป็นของตนโดยปลูกอยู่บนที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ที่ตนมีสิทธิครอบครอง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นมีใจความว่า เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ผู้แทนโจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าประสงค์จะนำยึดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 54 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวโดยโจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสของจำเลยกับนายไพฑูรย์ สีเมฆ ซึ่งได้รับมรดกตกทอดจากนางทาบ สีเมฆ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบเอกสารที่ผู้แทนโจทก์นำส่งแล้วปรากฏว่าจำเลยและนายไพฑูรย์จดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2534 และนางทาบซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 และบ้านเลขที่ 54 ดังกล่าว ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2537 ที่ดินและบ้านดังกล่าวจึงเป็นมรดกตกทอดแก่นายไพฑูรย์ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2537 และเป็นสินส่วนตัวของนายไพฑูรย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยกคำแถลงของผู้แทนโจทก์และขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งปลดเปลื้องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีงดเว้นยึดที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 54 ซึ่งปลูกบนที่ดินแปลงดังกล่าว และศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาปลดเปลื้องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรีจังหวัดเพชรบุรี มีนางทาบ สีเมฆ เป็นผู้แจ้งการครอบครองกับเป็นเจ้าของที่ดิน และตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีที่นางทาบยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้น ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า บ้านเลขที่ 54 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี อันเป็นทรัพย์ที่ยึดปลูกอยู่บนที่ดินแปลงดังกล่าวของนางทาบโดยจำเลยกับสามีอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว บ้านจึงเป็นของนางทาบและพิพากษาให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ดังนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวว่า นางทาบมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 26 หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงคอย อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี พร้อมบ้านเลขที่ 54 ที่ตั้งบนที่ดิน หาใช่จำเลยและนายไพฑูรย์มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวมานานกว่า 30 ปี ดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาไม่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากใบมรณบัตรและใบสำคัญการหย่าแนบท้ายหนังสือของเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า นางทาบถึงแก่ความตายเมื่อวันที่25 มิถุนายน 2537 ที่บ้านเลขที่ 54 นั้นเอง และเป็นเวลาภายหลังจากจำเลยจดทะเบียนหย่ากับนายไพฑูรย์เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2534 แล้ว จึงเป็นผลให้ที่ดินและบ้านที่โจทก์ประสงค์จะนำยึดเป็นมรดกตกทอดแก่นายไพฑูรย์ซึ่งเป็นบุตรของนางทาบนับแต่วันที่นางทาบตายและมิใช่สินสมรสของนายไพฑูรย์กับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะงดเว้นยึดทรัพย์สินนั้นและร้องขอต่อศาลให้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อมิให้ตนต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ปลดเปลื้องความรับผิดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 วรรคสอง นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share