คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3729/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกาย จ. ได้รับอันตรายสาหัสแล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกาย ว. และ บ. ได้รับอันตรายแก่กายอีก เป็นการกระทำที่ต่างกรรมกันอันเป็นความผิดหลายกระทง แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องโดยมีรายละเอียดให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกได้กระทำความผิดหลายกรรม และมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แม้จะได้ความดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1และที่ 2 ในแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์ได้เมื่อคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามมาตรา 195วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โดยแก้ไขให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายเพียงกระทงเดียวและลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสเพียงกระทงเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสามกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้ร่วมกันใช้เหล็กแป๊บร่มและขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายนายชาตรี เทพประยูร ที่บริเวณศีรษะและร่างกายหลายแห่ง โดยจำเลยกับพวกมีเจตนาฆ่านายชาตรี เป็นเหตุให้นายชาตรีถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้เหล็กแป๊บ ร่มและขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายนายเบิ้มเสลากุล นายวิวัฒน์ ม่วงน้อยเจริญ และนายจาตุรงค์ ปุญญะเสาวกุลผู้เสียหาย ถูกบริเวณร่างกายหลายแห่ง เป็นเหตุให้นายเบิ้มและนายวิวัฒน์ได้รับอันตรายแก่กายและนายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมร่ม 1 คัน ที่จำเลยใช้กระทำผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 288, 295, 297 ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ

จำเลยที่ 3 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเฉพาะจำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 297, 295 ประกอบมาตรา 83เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุกตลอดชีวิต ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสจำคุกคนละ8 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำคุกคนละ 2 กระทงกระทงละ 2 ปี เมื่อวางโทษฐานฆ่าผู้อื่นแล้ว จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว ริบของกลาง

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 297 และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำเลยที่ 1คงรับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 83 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 2รับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295, 297, 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำคุกกระทงละ2 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสจำคุก 8 ปี รวมจำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่านายชาตรี เทพประยูร และลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายนายจาตุรงค์ ปุญญะเสาวกุล ได้รับอันตรายสาหัสกับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสที่อ้างว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายชาตรี เทพประยูรและนายจาตุรงค์ ปุญญะเสาวกุล ถูกชายหลายคนรุมทำร้ายเป็นเหตุให้นายชาตรีถึงแก่ความตายตามรายงานการตรวจศพของแพทย์เอกสารหมายจ.11 นายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัสตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.16

ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่านายชาตรี และลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายนายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัสนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานฆ่านายชาตรีและฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัส

ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัสที่อ้างว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุนั้น เห็นว่านายจาตุรงค์เพียงแต่เข้าไปประคองนายชาตรีซึ่งล้มนอนอยู่บนทางเท้าไม่ปรากฏว่ามีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแก่จำเลยที่ 2 อันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 อ้างว่าทำร้ายนายจาตุรงค์เพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมายได้ ส่วนข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า เห็นกลุ่มบุคคลกำลังทำร้ายนายจาตุรงค์อยู่จึงเข้าใจผิดและสำคัญผิดว่าใครเป็นใคร และตนเองอาจถูกทำร้ายจึงป้องกันตัวไปพอสมควรแก่เหตุนั้น ไม่ใช่ข้ออ้างตามกฎหมายที่จะทำให้จำเลยที่ 2 พ้นผิดไปได้

อนึ่ง การที่จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายจาตุรงค์ได้รับอันตรายสาหัส แล้วจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายนายวิวัฒน์และนายเบิ้มได้รับอันตรายแก่กายอีก เป็นการกระทำที่ต่างกรรมกันอันเป็นความผิดหลายกระทง แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องโดยมีรายละเอียดให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกได้กระทำความผิดหลายกรรมและมิได้ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปแม้จะได้ความดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในแต่ละกรรมนอกเหนือจากคำฟ้องและคำขอของโจทก์หาได้ไม่ คำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรกปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225โดยแก้ไขให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายเพียงกระทงเดียว และลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสเพียงกระทงเดียว

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 83เพียงกระทงเดียว จำคุก 2 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8), 83เพียงกระทงเดียว จำคุก 8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share