คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1078/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อตกลงที่เรียกกันว่า”ค่าปรับ”เมื่อผิดสัญญานั้น ก็คือค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดกันไว้ล่วงหน้านั่นเอง
ข้อความในสัญญามีความว่า “ฯลฯหากปรากฏว่าผู้ขายไม่ส่งมอบไม้ให้กับผู้ซื้อให้ครบภายในเวลาดังกล่าวข้างต้นผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีฯลฯ” นั้นหมายความว่าเป็นความตกลงให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้น หาใช่เป็นบทบังคับว่าผู้ซื้อจะต้องใช้สิทธิ ทันทีจึงจะได้ค่าปรับไม่ การที่ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่ยังไม่ใช้สิทธินั้น ผ่อนผันให้ผู้ขายได้แก้ตัวโดยเห็นใจผู้ขายต่อมาโดยความขอร้องของผู้ขายนั้น หาทำให้ผู้ซื้อหมดสิทธิเรียกค่าปรับในที่สุดอย่างใดไม่
การที่บริษัทอันเป็นนิติบุคคลจะทำนิติกรรมใดนั้นอาจกระทำได้โดยผู้แทนของบริษัท คือกรรมการลงชื่อตามจำนวนและประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทนิติบุคคล แต่บริษัทนิติบุคคลก็ย่อมมีตัวแทนหรือเชิดให้ผู้อื่นเป็นตัวแทนไปกระทำนิติกรรมอันผูกพันบริษัทได้เหมือนกัน
ฉะนั้นแม้ข้อบังคับของบริษัทจะมีว่ากรรมการต้องลงนาม 2 คน จึงจะทำการแทนบริษัทได้ แต่เมื่อกรรมการผู้จัดการเพียงคนเดียวไปลงลายมือชื่อลงในสัญญาและประทับตราของบริษัทกำกับไว้ อันจะเถียงไม่ได้ว่าได้ทำในฐานะตัวแทนของบริษัท และบริษัทก็ได้รับเอาผลของนิติกรรมนั้นตลอดมาด้วย ดังนี้บริษัทจะปฏิเสธความรับผิด เมื่อถึงคราวจะต้องรับผิดหาได้ไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 381 วรรค 3 ที่มีข้อความว่า “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้ว จะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้น” นี้หมายความว่าลูกหนี้ได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว ถ้าลูกหนี้ยังชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ไม่ครบจำนวน กรณีก็ยังไม่เข้ามาตรา 381 วรรค 3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2491 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดเหมือนกันได้ทำสัญญาซื้อขายไม้กะบาก โดยโจทก์เป็นผู้ซื้อและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขาย ครั้นครบกำหนดจำเลยที่ 1 ส่งไม้ให้โจทก์ไม่ได้ตามสัญญา ได้ตกลงเลื่อนกำหนดไปอีก ก็ยังส่งไม้ไม่ได้โจทก์จะเลิกสัญญา แต่จำเลยขอเพิ่มเติมสัญญา จึงตกลงทำสัญญาซื้อขายไม้เพิ่มลงวันที่ 17 มีนาคม 2492 โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 ส่งไม้ให้โจทก์ได้จนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2492 โดยจำเลยที่ 1 ยอมเสียค่าภาษีศุลกากรเท่าที่มีให้โจทก์ ถ้าผิดสัญญานอกจากจะต้องคืนเงินล่วงหน้าและค่าปรับตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ยังต้องให้เงินอีก 10,000 บาทเป็นค่าทดแทนในการต่ออายุสัญญา ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 2-3 เป็นผู้ค้ำประกัน

หลังจากทำสัญญาเพิ่มเติมแล้ว จำเลยที่ 1 ส่งไม้ให้โจทก์ 2 คราวยังไม่ครบจำนวน แล้วจำเลยก็ไม่ได้ส่งไม้ให้โจทก์อีกเลย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและให้จำเลยที่ 1 คืนเงินล่วงหน้า กับชำระค่าปรับตามสัญญารวมเป็นเงิน 98,790 บาท 98 สตางค์ขอให้จำเลยทั้ง 3 ชำระพร้อมทั้งดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิดหลายประการ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเต็มตามฟ้อง ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2-3 ใช้แทน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อพ้นกำหนดสิ้นเดือนเมษายน 2492แล้ว การส่งไม้ก็ยังทำได้ไม่ครบจำนวนตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายและเรียกร้องเงินล่วงหน้าที่รับไปกับค่าปรับตามจำนวนที่ขาด

จำเลยฎีกาว่า กรณีนี้เป็นเรื่องเบี้ยปรับศาลจะพิพากษาบังคับเป็นเรื่องผิดสัญญาหรือเอาค่าเสียหายไม่ได้ เป็นเรื่องต่างไปจากคำฟ้อง ข้อตกลงตามสัญญานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อตกลงที่เรียกกันว่า “ค่าปรับ” นั้น ก็คือค่าสินไหมทดแทนที่กำหนดไว้ล่วงหน้านั่นเอง

จำเลยเถียงอีกว่า ตามสัญญาโจทก์จะมีสิทธิได้เบี้ยปรับต่อเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาทันที แต่เรื่องนี้โจทก์ยอมให้ผัดผ่อนต่อมาอีกหลายเดือน โจทก์หมดสิทธิเรียกค่าปรับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อสัญญามีความชัดอยู่แล้วว่า “หากปรากฏ ว่าผู้ขายไม่ส่งมอบไม้ให้กับผู้ซื้อครบภายในเวลาดังกล่าวข้างต้นผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที ฯลฯ” แสดงว่าเป็นความตกลงให้ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเท่านั้น หาใช่เป็นบทบังคับว่าผู้ซื้อจะต้องใช้สิทธิทันทีจึงจะได้ค่าปรับไม่ การที่โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่ยังไม่ใช้สิทธินั้นผ่อนผันให้จำเลยได้แก้ตัวโดยเห็นใจจำเลย ต่อมาโดยความร้องขอของจำเลยนั้น หาทำให้โจทก์ขาดสิทธิเรียกค่าปรับในที่สุดอย่างใดไม่

ข้อโต้เถียงของจำเลยอีกข้อหนึ่ง คือ ในสัญญามีชื่อพระสารสาสน์ประพันธ์ ลงนามแต่ผู้เดียว แม้จะประทับตราของบริษัทก็หาผูกพันบริษัทหัวหิน จำกัด จำเลยที่ 1 ไม่ เพราะตามข้อบังคับของบริษัทกรรมการจะต้องลงนาม 2 คนจึงจะทำการแทนบริษัทได้และทำนองเดียวกันการบอกเลิกสัญญาซื้อขายรายนี้ นายเติมกรรมการบริษัทโจทก์ ก็ลงนามโดยไม่ได้ประทับตราบริษัท จึงถือไม่ได้ว่าบริษัทหัวหินได้ทำสัญญากับโจทก์ และโจทก์ได้บอกเลิกสัญญา ในข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า การทำนิติกรรมใด แม้จะไม่ได้กระทำโดยการแสดงเจตนาของผู้แทนบริษัทคือกรรมการลงชื่อตามจำนวนและประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทก็ดี แต่นิติบุคคลก็ยอมมีตัวแทนหรือเชิดให้ผู้อื่นเป็นตัวแทนไปกระทำนิติกรรมนั้น ๆ อันผูกพันบริษัทได้ กรณีนี้พระสารสาสน์ประพันธ์ในฐานะกรรมการผู้จัดการของบริษัทได้ลงลายมือชื่อลงในสัญญาและประทับตราของบริษัทหัวหินจำกัดกำกับไว้ แม้จะเถียงว่าไม่ได้ทำแทนบริษัท แต่ก็จะเถียงไม่ได้ว่าไม่ได้ทำในฐานะตัวแทนของบริษัท ทั้งบริษัทก็ได้รับเอาผลของนิติกรรมนั้นตลอดมา บริษัทจะปฏิเสธความรับผิดเมื่อถึงคราวจะต้องรับผิดหาได้ไม่สำหรับกรณีบอกเลิกสัญญาซื้อขายก็เช่นเดียวกัน จำเลยจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ฟังหาขึ้นไม่

อีกข้อหนึ่ง จำเลยอ้างว่า โจทก์ยอมรับไม้ไว้ 2 คราวโดยไม่สงวนเรียกร้องเบี้ยปรับไว้แต่ประการใดนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคสาม มีข้อความว่า “ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับชำระหนี้แล้วจะเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ต่อเมื่อได้บอกสงวนสิทธิไว้เช่นนั้นในเวลาชำระหนี้” นี้หมายความว่า ลูกหนี้ได้ชำระให้แก่เจ้าหนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่กรณีในคดีนี้จำเลยยังขาดการส่งมอบไม้อยู่อีก 52 ตันเศษ จะเรียกว่าจำเลยได้ชำระให้แก่โจทก์แล้วหาได้ไม่

ฯลฯ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืน

Share