คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5737/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อและเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อจะเข้าถือเอาประโยชน์ตามสัญญาประกันภัย ด้วยการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของบริษัทผู้รับประกันภัยในคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 27,91 ก็เพื่อเป็นการรักษาสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันภัยไว้เท่านั้น และเป็นการไม่แน่นอนว่าจะได้รับชำระหนี้ เพราะคำขออาจถูกยกหรืออนุญาตทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ตามมาตรา 107 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว การเข้าถือเอาประโยชน์ของโจทก์จึงมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันร่วมกันส่งมอบรถคันที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 403,000 บาทค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่โจทก์ชำระแทนไปเป็นเงิน 1,968.96 บาท รวมเป็นเงิน 542,968.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จ กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสามจะส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ในกรณีที่มีการสูญหายหรือความเสียหายที่ไม่อาจซ่อมแซมได้ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถคันที่เช่าซื้อไปแล้วเกิดอุบัติเหตุจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ โจทก์ขอรับเงินตามกรมธรรม์ดังกล่าวและได้รับเงินจากบริษัทประกันภัยครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้วจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์อีก ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 286,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 26 พฤศจิกายน 2541)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถกระบะพิพาทไปจากโจทก์โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวันทำสัญญาโจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาประกันภัยรถกระบะพิพาทต่อบริษัทรัตนโกสินทร์ประกันภัย จำกัด โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ต่อมารถกระบะพิพาทประสบอุบัติเหตุได้รับความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแซมได้ โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันภัยต่อบริษัทรัตนโกสินทร์ประกันภัย จำกัด แต่ศาลได้มีคำพิพากษาให้บริษัทดังกล่าวล้มละลายก่อนจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 3 ว่า โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันได้โดยชอบหรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันภัยระหว่างจำเลยที่ 1 กับบริษัทรัตนโกสินทร์ประกันภัย จำกัด เป็นสัญญาที่แยกต่างหากจากสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำขึ้นตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้ออันมีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เพื่อเป็นค่าทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์อีกทางหนึ่งซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเพื่อให้ได้รับชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนจากข้อผูกพันตามสัญญาฉบับใดฉบับหนึ่งหรือทั้งสองฉบับก็ได้จนกว่าจะได้รับชดใช้ค่าเสียหายครบถ้วนแม้จะปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าถือเอาประโยชน์จากสัญญาประกันภัยด้วยการเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนที่เอาประกัน แต่ผู้รับประกันภัยยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์เนื่องจากถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลาย การที่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นเพียงการปฏิบัติตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 27และมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพื่อเป็นการรักษาสิทธิเรียกร้องตามสัญญาประกันภัยไว้เท่านั้น และเป็นการไม่แน่นอนว่าจะได้รับชำระหนี้เพราะคำขออาจถูกยกหรืออนุญาตทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ตามมาตรา 107 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ดังนั้น การเข้าถือเอาประโยชน์ของโจทก์ตามสัญญาประกันภัยด้วยการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย จึงมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายตามสิทธิเรียกร้องนั้นแล้ว เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ฟ้องบริษัทผู้รับประกันภัยจนขาดอายุความจึงเป็นความผิดของโจทก์นั้นเห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มิได้ยื่นคำให้การแก้คดีเป็นประเด็นข้อนี้ไว้ ฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 3 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share