แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยหลบหนีไปจากสถานที่ควบคุมในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในข้อหาเรื่องอื่น พนักงานสอบสวนมิได้ส่งตัวจำเลยไปฟ้องหรือขอผัดฟ้องภายในกำหนด 72 ชั่วโมง นับแต่จำเลยถูกจับ ผู้ว่าคดีเพิ่งฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเมื่อจำเลยถูกจับในคดีหลบหนีฯ นี้แล้ว 3 เดือนเศษ เมื่อได้ความว่าอธิบดีกรมอัยการได้อนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๐๓) ว่าเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ จำเลยหลบหนีไปจากสถานที่ควบคุมในระหว่างที่จำเลยถูกคุมขังตามอำนาจพนักงานสอบสวนกองตำรวจสันติบาลในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมูนิสต์ ระหว่างสอบสวนจำเลยมิได้ถูกควบคุมตัวอยู่ ในคดีนี้ (โจทก์) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมอัยการฟ้องจำเลยตามหนังสืออนุญาตท้ายฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๐
จำเลยให้การว่าการสอบสวนและการฟ้องคดีนี้มิได้เป็นไปตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๗ กล่าวคือคดีนี้จำเลยถูกจับเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๐๒ แต่พนักงานสอบสวนมิได้ส่งตัวจำเลยไปฟ้องหรือขอผัดฟ้องภายใน ๗๒ ชั่วโมง เป็นการปฏิบัติผิดกระบวนวิธีพิจารณา แม้โจทก์จะได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการให้ฟ้องแล้ว อธิบดีกรมอัยการก็ไม่มีอำนาจอนุมัติได้ตามกฎหมาย กับให้การต่อสู้ประการอื่นด้วย
ในปัญหาข้อนี้ศาลชั้นต้น, ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาวินิจฉัยในทำนองเดียวกันว่า ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๙ บัญญัติว่า เมื่อพ้นกำหนดตามมาตรา ๗ แล้ว ไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าอธิบดีกรมอัยการได้อนุญาตให้ฟ้องคดีได้แล้ว ผู้ว่าคดีย่อมฟ้องคดีนั้นได้ คดีนี้ก็ได้ความว่า อธิบดีกรมอัยการได้มีหนังสืออนุญาตให้โจทก์ฟ้องแล้ว ผู้ว่าคดีจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้