คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3038/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของไม้สักแปรรูป 166 แผ่น อันเป็นไม้หวงห้ามไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ในวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานได้ยึดไม้สักแปรรูปดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นของกลาง 108 แผ่นนำกลับไปที่หน่วยแล้วตีตรายึดไว้ทุกแผ่น จำเลยทั้งสี่ร่วมกันจุดไปเผาไม้สักแปรรูป 6 แผ่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เหลือจากการยึด ในวันรุ่งขึ้นพนักงานสอบสวนจึงยึดไม้ที่เหลือจากการถูกเผาอีก 52 แผ่น เช่นนี้ ไม้สักแปรรูป 6 แผ่นที่จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันเผายังไม่ใช่เป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 142 ประกอบด้วยมาตรา 80.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไม้สักแปรรูป 166 แผ่นอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันดูหมิ่นเจ้าพนักงานป่าไม้ในขณะกำลังเข้าจับกุมจำเลยทั้งสี่อันเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่ ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานป่าไม้ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมีมีดเป็นอาวุธขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และร่วมกันทำลายไม้สักแปรรูป 58 แผ่นอันเป็นส่วนหนึ่งของไม้ที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไว้ในความครอบครองและถูกผู้เสียหายกับพวกจับกุมและยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสี่โดยการใช้น้ำมันราดไม้แล้วจุดไฟเผา เป็นเหตุให้ไม้จำนวนดังกล่าวติดไฟลุกไหม้เสียหายวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานยึดได้ไม้สักแปรรูป 108 แผ่น อันเป็นส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองวันรุ่งขึ้น เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสี่ได้ ยึดได้ไฟแช็ก 1 อันไม้สักแปรรูปที่ถูกจำเลยทั้งสี่กับพวกร่วมกันจุดเผาไหม้ดังกล่าวอีก 6 แผ่น กับไม้สักแปรรูปที่ยังไม่ถูกเผาไหม้อีก52 แผ่นอันเป็นส่วนหนึ่งของไม้สักแปรรูปที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไว้ในความครอบครองเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 138, 142, 83 ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 48, 70, 73, 74, 74 จัตวา ที่แก้ไขแล้วริบของกลางทั้งหมดและขอให้สั่งจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 142, 83, 80 ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 48, 70, 73, 74, 74 จัตวา ที่แก้ไขแล้วให้เรียงกระทงลงโทษ จำเลยที่ 3 อายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามทำลายทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดเพื่อเป็นพยานหลักฐานจำคุก 8 เดือน และฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพยายามทำลายทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดเพื่อเป็นพยานหลักฐานจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน และฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี เฉพาะจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 อีกกระทงหนึ่งจำคุก 6เดือน จึงเป็นโทษที่จะลงแก่จำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 4 ปี 10 เดือนจำเลยที่ 2 ที่ 4 จำคุกคนละ 4 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 3 ให้จำคุกมีกำหนด 2 ปี 2 เดือน ให้ริบของกลางทั้งหมด สำหรับคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้ยกฟ้องของโจทก์ ส่วนสำหรับจำเลยที่ 2 ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ความผิดฐานทำลายไม้สักแปรรูปของกลางบางส่วนอันเจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน ให้ยกฟ้องของโจทก์สำหรับจำเลยทุกคนเมื่อรวมความผิดทุกกระทงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขดังกล่าวกับโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขแล้ว เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 รวม 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2รวม 2 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 รวม 1 ปี ให้คืนไฟแช็กของกลางแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่มิได้ฎีกาคัดค้านข้อที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขกำหนดโทษ สำหรับจำเลยที่ 2 ในข้อหามีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 กระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 เฉพาะจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 อีกกระทงหนึ่งและเฉพาะจำเลยที่ 2กระทำความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง คงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดฐานพยายามทำลายทรัพย์สินอันเจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐาน จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่2 และที่ 4 กระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษมาหรือไม่
แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ไม้สักแปรรูปตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีไม้สักแปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต สำหรับความผิดฐานพยายามทำลายทรัพย์สินคือไม้ของกลางที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานนั้นเห็นว่า แม้ผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีเจตนายึดไม้ของกลางดังกล่าว แต่ก็ปรากฏชัดว่าเจ้าพนักงานยังไม่ได้ยึดไม้ของกลางดังกล่าวในขณะเกิดเหตุเลย วันเกิดเหตุเจ้าพนักงานป่าไม้ได้ยึดไม้ของกลางไป 108 แผ่น นำกลับไปที่หน่วย แล้วตีตรายึดไว้ทุกแผ่น ส่วนไม้ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันจุดไฟเผาเป็นส่วนหนึ่งของไม้ที่เหลือจากการยึดในวันเกิดเหตุการจุดไฟเผาเกิดขึ้นในวันเกิดเหตุขณะยังไม่มีการยึดไม้ที่เหลือจำนวนนี้พนักงานสอบสวนเพิ่งยึดไม้ที่เหลือจำนวนนี้ในวันรุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุ ดังนั้น ไม้ที่ถูกเผาจึงมิใช่เป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานดังที่โจทก์ฟ้อง ไม่อาจลงโทษจำเลยทุกคนในข้อหาฐานนี้ได้ ส่วนความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่2 และที่ 4 กระทำความผิดในฐานนี้
พิพากษายืน.

Share