แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
++ เรื่อง ล้มละลาย
++ โจทก์ฎีกา
++ โปรดดูย่อจากหนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
++ เล่มที่ 8 หน้า 183 ++
++ มีหมายเหตุ : เอื้อน ขุนแก้ว
++ ขอดูชุดพิเศษโปรดติดต่อห้องบริการเอกสารสำเนาคำพิพากษา (ห้องสมุด) ชั้น 4, 5 ++
ย่อยาว
เรื่อง ล้มละลาย
โจทก์ ฎีกาคัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ลงวันที่ ๒๘ เดือน สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
ศาลฎีกา รับวันที่ ๒๔ เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๗๓/๒๕๒๙ซึ่งพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ ๑,๔๕๓,๔๔๓.๖๙ บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียม แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้โจทก์นำยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามทั้งหมดเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ แต่ไม่พอชำระหนี้ จำนวนหนี้เงินต้นเป็นเงิน ๑,๑๔๙,๘๔๙.๖๓ บาท และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน๑,๓๕๓,๓๑๙.๑๕ บาท รวมเป็นเงิน ๒,๕๐๓,๑๖๘.๗๘ บาท โจทก์ติดตามทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้หลายครั้ง จำเลยทั้งสามไม่สามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากไม่มีทรัพย์สินใดเพราะถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์มาจนหมดสิ้น จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นลูกหนี้โจทก์เป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ ๑ ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์จนหมดสิ้นแล้ว โดยมีการขายทอดตลาดทรัพย์ที่เป็นประกันซึ่งมีมูลค่ามากกว่าหนี้สินตามคำพิพากษา จำเลยทั้งสามมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจำเลยทั้งสามมิได้มีภูมิลำเนาตามฟ้อง การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ชอบ โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้วเนื่องจากหนี้ตามคำพิพากษาเดิมศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม๒๕๒๙ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ธันวาคม ๒๕๓๙ พ้นกำหนด ๑๐ ปี โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นตามคำร้องของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ และมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน จำเลยทั้งสามไม่แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ คืนค่าชึ้นศาลสำหรับฟ้องอุทธรณ์ที่เกิน ๑๕๐ บาท แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๗พฤษภาคม ๒๕๒๙ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๑,๔๕๓,๔๔๓.๖๙ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์ จำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดและโจทก์ได้รับชำระหนี้เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ เป็นเงิน๑,๑๗๙,๒๙๑ บาท โจทก์นำหนี้ที่เหลือมาฟ้องเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม๒๕๓๙ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีขาดอายุความหรือไม่ศาลฎีกา เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุด มีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๙๓/๓๒ และอายุความจะสะดุดหยุดลงได้ก็ต่อเมื่อมีกรณีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ แต่การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์นั้น เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดผลตามคำพิพากษาที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามไว้แล้ว มิใช่เป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๔ (๕)ดังที่โจทก์ฎีกา ฉะนั้นเมื่อโจทก์นำหนี้ที่เหลือมาฟ้องให้จำเลยทั้งสามล้มละลายเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙ ซึ่งพ้นกำหนด ๑๐ ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.