แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ครั้งแรกจำเลยให้โจทก์บอกขายที่ดินในราคาไร่ละ 80,000 บาท โจทก์เสนอขายต่อจำเลยร่วม จำเลยร่วมต่อรองราคาให้เหลือไร่ละ 70,000 บาท จำเลยไม่ยอม หลังจากนั้น 2-3 เดือน จำเลยร่วมตกลงจะซื้อและให้โจทก์ไปตกลงเงื่อนไขในการทำสัญญา โจทก์บอกให้จำเลยทราบ จำเลยขอผัดอ้างว่าติดทำบุญ ต่อมาจำเลยกลับบอกโจทก์ว่าจะขายในราคาไร่ละ 100,000 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยร่วมทราบ ครั้งจำเลยร่วมตกลงจะซื้อ จำเลยก็ขอขึ้นราคาที่ดินอีก จึงยังตกลงซื้อขายกันไม่ได้ ผลที่สุด ร. บุตรจำเลยติดต่อขายที่ดินทั้งสองโฉนดรวมเนื้อที่ 8 ไร่ ให้แก่จำเลยร่วมได้ในราคา 800,000 บาท แม้ ร. จะเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินสำเร็จในภายหลัง แต่ก็คงขายให้แก่จำเลยร่วมซึ่งโจทก์ติดต่อไว้ก่อน ราคาที่ขายก็มิได้สูงกว่าที่จำเลยร่วมตกลงจะซื้อจากโจทก์ การที่ ร.ติดต่อขายที่ดินให้จำเลยร่วม พฤติการณ์แสดงว่าได้ทราบจากจำเลยแล้วว่าจำเลยร่วมเป็นผู้จะซื้อตามที่จำเลยทราบจากโจทก์ เป็นกรณีร่วมกันจำเลยถือเอาประโยชน์จากการที่โจทก์เป็นผู้ติดต่อบอกขายที่ดินให้จำเลยร่วมมาตั้งแต่ต้น ถือได้ว่าการซื้อขายที่ดินรายนี้ได้ทำสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ได้ชี้ช่องจัดการแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าตามข้อตกลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้มาติดต่อขอให้โจทก์บอกขายที่ดินรวม ๒ โฉนด โดยสัญญาจะให้บำเหน็จแก่โจทก์ร้อยละ ๕ จากการชี้ช่องและดำเนินการบอกขายที่ดินดังกล่าว นางสุวพีร์ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวจากจำเลยในราคา ๘๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ขอรับค่านายหน้าจากจำเลยเป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยติดต่อให้โจทก์เป็นนายหน้า จำเลยขายที่ดินให้นางสุวพีร์โดยบุคคลอื่นมาติดต่อกับจำเลย ตามสัญญาระหว่างจำเลยกับนายสุวพีร์ จำเลยไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางสุวพีร์เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
นางสุวพีร์จำเลยร่วมให้การว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ไม่เคยตกลงจะเป็นผู้ออกค่านายหน้าตามข้ออ้างของจำเลย ขอให้ยกคำร้องของจำเลยหรือให้ยกฟ้องโจทก์ ในส่วนที่จะให้จำเลยร่วมรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยร่วมชำระค่านายหน้าแก่โจทก์ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย
โจทก์อุทธรณ์ ให้จำเลยรับผิดจ่ายค่านายหน้าแก่โจทก์
จำเลยร่วมอุทธรณ์ว่าจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลหมายเรียกเข้ามาหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และศาลไม่มีอำนาจพิพากษา ให้จำเลยร่วมรับผิดต่อโจทก์แทนจำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีเหตุที่จำเลยจะใช้สิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอากับจำเลยร่วมทั้งโจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่านายหน้าจากจำเลยร่วม จึงไม่มีสิทธิขอให้หมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยด้วย กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินหลังจากมีคำสั่งให้หมายเรียกจำเลยร่วมตลอดจนมีคำพิพากษาเกี่ยวกับจำเลยร่วมจึงมิชอบ พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระค่านายหน้าแก่โจทก์เป็นเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ครั้งแรกจำเลยให้โจทก์บอกขายที่ดินในราคาไร่ละ ๘๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้เสนอขายให้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมให้โจทก์ไปต่อรองราคาให้เหลือไร่ละ ๗๐,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ยอมลดราคาให้ หลังจากนั้น ๒-๓ เดือน จำเลยร่วมตกลงจะซื้อและให้โจทก์ไปตกลงเงื่อนไขในการทำสัญญา โจทก์ไปบอกให้จำเลยทราบ จำเลยขอผัดอ้างว่าติดทำบุญและถามถึงคนจะซื้อโจทก์ก็แจ้งให้จำเลยทราบ ต่อมาจำเลยกลับบอกโจทก์ว่าจะขายในราคาไร่ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยร่วมทราบ ครั้นจำเลยร่วมตกลงจะซื้อ จำเลยขอขึ้นราคาที่ดินอีก จึงยังตกลงซื้อขายกันมิได้ ผลที่สุดนางรัศมีบุตรจำเลยติดต่อขายที่ดินทั้งสองโฉนดรวมเนื้อที่ ๘ ไร่ ให้แก่จำเลยร่วมในราคา ๘๐๐,๐๐๐ บาท จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้นางรัศมีจะเป็นผู้ติดต่อขายที่ดินสำเร็จในภายหลัง แต่ก็คงขายให้แก่จำเลยร่วมซึ่งโจทก์ได้ติดต่อไว้ก่อนแล้ว ราคาที่ขายก็มิได้สูงกว่าที่จำเลยร่วมตกลงจะซื้อจากโจทก์ การที่นางรัศมีติดต่อขายที่ดินให้จำเลยร่วม พฤติการณ์แสดงว่าได้ทราบจากจำเลยแล้วว่าจำเลยร่วมเป็นผู้จะซื้อตามที่จำเลยทราบจากโจทก์ เป็นกรณีร่วมกับจำเลยถือเอาประโยชน์จากการที่โจทก์เป็นผู้ติดต่อบอกขายที่ดินให้จำเลยร่วมมาแต่ต้น ถือได้ว่าการซื้อขายที่ดินรายนี้ได้ทำกันสำเร็จเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ได้ชี้ช่องจัดการ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าตามข้อตกลง
พิพากษายืน.