แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การทำสัญญาค้ำประกันบุคคลเข้าทำงาน โดยปกติย่อมเป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดเมื่อลูกจ้างทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่นายจ้างเฉพาะในหน้าที่การงานของลูกจ้างนั้นเท่านั้น ถ้านายจ้างประสงค์จะให้รับผิดตลอดถึงการกระทำนอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้วก็ชอบที่จะระบุไว้ให้ชัดในสัญญาค้ำประกัน
นายจ้างอ้างว่าการที่ลูกจ้างก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้น ลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่การงานของลูกจ้างเมื่อผู้ค้ำประกันให้การปฏิเสธข้อนี้ นายจ้างมีหน้าที่ต้องนำสืบ
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 26/2513)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายบวร ศุภพฤกษ์ เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าช่างเครื่องการไฟฟ้าจังหวัดพังงาระหว่างทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ นายบวรได้ขับรถยนต์ของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างในทางการที่จ้างไปชน นายศรี ประสมทรัพย์ นายสนิท ไพรสุวรรณนายสมนึก มงคลบุตร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรถจักรยานเสียหาย บุคคลทั้งสามได้ฟ้องโจทก์กับนายบวรให้ใช้ค่าเสียหาย โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลทั้งสามเป็นเงิน 30,000 บาท ปรากฏตามคดีแดงที่ 30-31-32/2507 และนายบวรทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ขับขี่ไปชนเสียหาย ต้องซ่อมใหม่เสียเงินไป 3,500 บาท ซึ่งจำเลยผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน 33,500 บาทและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายบวรโดยมีเงื่อนไขว่า ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในหน้าที่การงานหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะจำเลยจึงจะรับผิดชอบภายในวงเงิน 1,000 บาท แต่มูลคดีที่นายบวรขับรถไปชนบุคคลทั้งสาม และโจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายไปกับเสียค่าซ่อมรถยนต์นั้น นายบวรได้กระทำไปโดยพลการนอกหน้าที่การงาน ดังที่โจทก์ได้ให้การไว้ในคดีที่กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว การกระทำของนายบวรจึงนอกเหนือความรับผิดชอบของจำเลย ถ้าจำเลยต้องรับผิดก็ไม่เกิน 10,000 บาท
วันชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามต้นฉบับที่โจทก์ส่งศาล (จ.1) และโจทก์เสียค่าซ่อมรถยนต์ไป 3,500 บาทจริงโจทก์จำเลยรับกันว่า นายบวรและโจทก์ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วตามคดีแดงที่ 30-31-32/2507 จำเลยขออ้างคำให้การของจำเลยที่ 2 (คือโจทก์คดีนี้) ในสำนวนดังกล่าว แล้วโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 33,500 บาทกับดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ได้พิจารณาสัญญาค้ำประกันหมาย จ.1แล้ว เห็นว่าโจทก์จ้างนายบวรทำงานในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่องตามปกติธรรมดาย่อมเป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่า ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เฉพาะในหน้าที่การงานเท่านั้นผู้ค้ำประกันจึงจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบทุกกรณีที่นายบวรกระทำขึ้นนอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้ว ก็ชอบที่จะระบุความข้อนี้ไว้ให้ชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกัน เพราะเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดแต่เพียงฝ่ายเดียว เมื่อสัญญาค้ำประกันรายนี้มิได้ระบุความข้อนี้ไว้ ก็ต้องตีความให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันว่าต้องรับผิดเฉพาะความเสียหายที่นายบวรกระทำขึ้นในหน้าที่การงานเท่านั้น
ปัญหาต่อไปมีว่า การที่นายบวรขับรถยนต์ของโจทก์ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นตามฟ้องนั้น ได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่องตามฟ้องหรือไม่ จำเลยให้การปฏิเสธข้อนี้ และการที่โจทก์กับนายบวรทำยอมความใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย และศาลพิพากษาไปตามยอมความแล้วนั้น คำพิพากษานั้นไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีที่กล่าวนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงมีมติว่าเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบเมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่นำสืบ โจทก์ก็ไม่อาจชนะคดีได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์