คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในภารจำยอมแก่ที่ดินของจำเลยทั้งสองเพียงให้คนและยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเท่านั้น ฉะนั้นการก่อสร้างหลังคาคลุมทางพิพาทก็ดี การทำประตูปิดกั้นทางพิพาทก็ดี หาใช่การอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมไม่จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะปลูกสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาท และแม้เจ้าของที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์คนเดิมจะอนุญาตให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทได้ การอนุญาตดังกล่าวก็หาได้มีข้อผูกพันให้มีผลอยู่ตลอดไปไม่ดังนั้น เจ้าของที่ดินเดิมหรือโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดินเดิมจะถอนการอนุญาตเสียในเวลาใดก็ย่อมได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางใด ๆ ที่อยู่บนทางภารจำยอมของโจทก์ออกไปให้หมดสิ้น หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ห้ามไม่ให้จำเลยทั้งสองปลูกสร้างหรือทำสิ่งกีดขวางใด ๆ บนทางภารจำยอมอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การว่าจำเลยทั้งสองได้รับความยินยอมจากนายเจือ ก่อกิจสัมมากุลเจ้าของที่ดินเดิมให้ทำหลังคาบนที่ดินภารจำยอมได้ จำเลยทั้งสองไม่เคยสร้างกำแพงและต่อเติมหลังบ้านยื่นเข้าไปในที่ดินภารจำยอมทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์แต่อย่างใด โจทก์ปิดประกาศซึ่งเขียนข้อความว่า “ที่ส่วนบุคคลห้ามนำรถ 6 ล้อเข้ามา” ทั้งโจทก์และบริวารของโจทก์จอดรถยนต์และวางสิ่งของกีดขวางทางภารจำยอมจนจำเลยทั้งสองไม่สามารถใช้ทางภารจำยอมเพื่อออกสู่ถนนเพชรเกษมและเข้ามายังที่ดินจำเลยทั้งสองได้ตามสิทธิ ทำให้จำเลยทั้งสองได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ลบข้อความที่เขียนประกาศห้ามนำรถ เข้ามาออกให้หมดทุกแห่ง ห้ามโจทก์เขียนข้อความใด ๆอันเป็นการริดรอนสิทธิของจำเลยในทางภารจำยอม และห้ามมิให้โจทก์และบริวารจอดรถยนต์และวางสิ่งของกีดขวางทางเข้าออกที่ดินภารจำยอมอีกต่อไป
โจทก์ทั้งสองสำนวนให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองได้ทำหลังคาและกำแพงบ้านล้ำทางภารจำยอมพิพาท ทางภารจำยอมใช้เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โจทก์ไม่มีสิทธิห้ามมิให้จำเลยทั้งสองใช้รถยนต์ 6 ล้อหรือรถใด ๆ ผ่านทางพิพาทได้ และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการใด ๆ อันจะทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถใช้ทางพิพาทได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและสิ่งกีดขวางใด ๆ ที่อยู่บนทางภารจำยอมพิพาทของโจทก์ออกไปทั้งสิ้น หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ให้โจทก์ลบข้อความที่ได้เขียนประกาศห้ามว่า “ที่ส่วนบุคคลห้ามนำรถ 6 ล้อเข้ามา” ออกให้หมดทุกแห่ง ฟ้องแย้งของจำเลยนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ว่าถ้าจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ หลังจากศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบทางพิพาทตามคำขอของโจทก์แล้ว คู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามคำฟ้อง คำให้การและฟ้องแย้งคำให้การแก้ฟ้องแย้ง คำรับของคู่ความและตามที่ศาลชั้นต้นได้ไปเผชิญสืบทางพิพาทว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่72668 และเลขที่ 68030 ตำบลบางหว้า (บางจากฝั่งใต้) อำเภอภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ทางพิพาทอยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยเป็นทางภารจำยอมให้คนและยานพาหนะเข้าออกไปสู่ถนนเพชรเกษมได้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ได้ก่อสร้างหลังคาคลุมทางพิพาทโดยได้ปักเสาและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทในส่วนที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยทั้งสองด้วย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องออกไปจากทางพิพาทหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพียงให้คนและยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนเพชรเกษมเท่านั้น การก่อสร้างหลังคาคลุมทางพิพาทก็ดี การทำประตูปิดกั้นทางพิพาทก็ดี หาใช่การอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมไม่ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิที่จะปลูกสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทได้นั้น เห็นว่าแม้จะฟังว่าเป็นความจริงตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา การอนุญาตดังกล่าวก็หาได้มีข้อผูกพันให้มีผลอยู่ตลอดไปไม่ ดังนั้น เจ้าของที่ดินเดิมหรือโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดินเดิมจะถอนการอนุญาตเสียในเวลาใดก็ย่อมได้ ส่วนปัญหาว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์หรือไม่นั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างรูปเรื่องไม่ตรงกับคดีนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share