แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ศาลฎีกาจะพิพากษาตามยอมได้นั้น ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ หากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวฝ่าฝืนต่อกฎหมายศาลฎีกาก็ย่อมไม่อาจพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้เพราะเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 138 เมื่อปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์เสนอต่อศาลในข้อ 1 ระบุว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตกลงร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,150,253.55 บาท แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 กับที่ 5 ตกลงร่วมกันชำระเงินจำนวน 558,543.32 บาท แก่โจทก์ เมื่อรวมจำนวนเงินทั้งสองจำนวนแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,708,796.87 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้มีจำนวนเงินซึ่งคำนวณจากดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) รวมอยู่ด้วย สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์เสนอต่อศาลจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,708,796.87 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้นจำนวน 1,203,276.68 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินที่จำเลยที่ 1 นำมาจำนอง พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินจำนวน 584,861.02 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมรับผิดจำนวน 190,861.02 บาท และจำเลยที่ 5 ให้รับผิดชำระเงินต้นจำนวน 394,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้นแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2536 ชำระเงินให้โจทก์จำนวน 592,573.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 5 ร่วมกันรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2540 ชำระเงินจำนวน 394,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 มกราคม 2541 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2536 จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ 850,000 บาท ตกลงชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี และยินยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินกว่าอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศกำหนด มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ได้จำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง เป็นประกันจำนวน 850,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่า หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2540 จำเลยที่ 1 ตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันครั้งที่ 1 จำนวน 300,000 บาท เมื่อรวมกับสัญญาจำนองเดิมเป็นเงินจำนวน 1,150,000 บาท ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์อีก 540,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยมีจำเลยที่ 5 ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวร่วมกับจำเลยที่ 1 อย่างลูกหนี้ร่วม ในวันดังกล่าวจำเลยที่ 1 ตกลงขึ้นเงินจำนองเป็นประกันครั้งที่ 2 จำนวน 540,000 บาท เมื่อรวมกับสัญญาจำนองเดิมเป็นเงิน 1,690,000 บาท จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตั้งแต่งวดแรก โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งห้าเพิกเฉย เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงิน การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 654 แต่อยู่ภายใต้บทบัญญัติของ พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 14 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติในเรื่องดอกเบี้ยและส่วนลดด้วย ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อของโจทก์นั้น โจทก์ได้ออกประกาศอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเป็นสองอัตรา คือ อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าทั่วไปและอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าที่ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในการผ่อนชำระสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าทั่วไป การที่โจทก์กำหนดอัตราดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมเงินในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกหนี้ที่ปฏิบัติผิดสัญญา โดยจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือผิดสัญญาเลย จึงเป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์ ถือว่าเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 อันเป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) จึงตกเป็นโมฆะ
อนึ่ง ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำแถลงลงวันที่ 24 ธันวาคม 2545 อ้างว่า โจทก์และจำเลยทั้งห้าสามารถตกลงประนีประนอมยอมความกันได้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ที่เสนอต่อศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นส่งมายังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและพิพากษาตามยอมนั้น เห็นว่า การที่ศาลฎีกาจะพิพากษาตามยอมได้นั้น ศาลฎีกาจะต้องพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความของคู่ความว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายหรือไม่ หากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลฎีกาก็ย่อมไม่อาจพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประยอมความนั้นได้เพราะเป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 138 เมื่อปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์เสนอต่อศาลใน ข้อ.1 ระบุว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตกลงร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,150,253.55 บาท แก่โจทก์ และจำเลยที่ 1 กับที่ 5 ตกลงร่วมกันชำระเงินจำนวน 558,543.32 บาท แก่โจทก์ เมื่อรวมจำนวนเงินทั้งสองจำนวนแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,708,796.87 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวนี้มีจำนวนเงินซึ่งคำนวณจากดอกเบี้ยเกินอัตราอันเป็นการต้องห้ามตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก) รวมอยู่ด้วย สัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์เสนอต่อศาลจึงเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาตามยอมให้ได้
พิพากษายืน และให้ยกคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาตามยอม ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.