คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5244/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถรังวัดสอบเขตที่ดินตามที่โจทก์ยื่นคำขอได้ เนื่องจากจำเลยชี้อาณาเขตล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ ถือว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับที่ดินโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 69 ทวิ วรรคห้า เป็นบทบัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนไกล่เกลี่ยเพื่อให้การรังวัดสอบเขต และการออกโฉนดตามแนวเขตที่รังวัดใหม่ซึ่งเปลี่ยนไปสามารถดำเนินการต่อไปได้เพื่อประโยชน์แก่คู่กรณีที่จะได้ทราบแนวเขตที่แท้จริงตามที่ตกลงกัน และถ้าไกล่เกลี่ยแล้วไม่สามารถตกลงกันได้ก็แจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องภายใน 90 วัน ถ้าไม่มีการนำคดีไปฟ้องภายในกำหนดดังกล่าวเพียงถือว่าผู้ขอสอบเขตโฉนดที่ดินไม่ประสงค์จะให้ดำเนินการตามคำขออีกต่อไป และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจที่จะไม่รังวัดสอบเขตที่ดินต่อไปได้โดยไม่มีความผิดเท่านั้น หาใช่เป็นบทกำหนดวิธีการและขั้นตอนให้ผู้ยื่นคำขอรังวัดต้องปฏิบัติก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินไม่ทราบหมายเลขโฉนดโดยอยู่ด้านทิศตะวันออกของที่ดินโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขอให้รังวัดสอบเขตที่ดินโจทก์แต่เจ้าพนักงานไม่สามารถรังวัดสอบเขตที่ดินได้ เนื่องจากจำเลยทั้งห้าชี้อาณาเขตที่ดินล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าถอยร่นแนวเขตที่ดินของจำเลยทั้งห้าออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว

จำเลยทั้งห้าขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นางสาวสายหยุด ตรีมณี ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 อนุญาต

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 3071 ตามเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยทั้งห้ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 10100 อยู่ติดกับที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันออกมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เบิกความว่า โจทก์ยื่นคำขอสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ 3071 ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน โดยนายจรัล พูลศิริ เป็นผู้ไปรังวัดแต่ไม่อาจจะสอบเขตที่ดินได้ เพราะจำเลยทั้งห้านำชี้แนวเขตที่ดินล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ และนายจรัลผู้รังวัดสอบเขตเบิกความสนับสนุนอีกว่า ได้ไปรังวัดที่ดินโจทก์ เมื่อปี 2538 ปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าเคยขอแก้ไขเนื้อที่ดินของตนและขอออกโฉนดล้ำที่ดินโจทก์ และจำเลยที่ 5 ก็เบิกความโต้แย้งว่า ที่ดินจำเลยทั้งห้าไม่ได้ล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์แต่ที่ดินโจทก์ล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยทั้งห้า ถือได้ว่าจำเลยทั้งห้าโต้แย้งสิทธิเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ส่วนกรณีที่เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดสอบเขตแล้ว เจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านการรังวัดและไม่มีการไกล่เกลี่ยของเจ้าพนักงานที่ดินนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 69 ทวิ วรรคห้า เป็นบทบัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานที่ดินสอบสวนไกล่เกลี่ยเพื่อให้การรังวัดสอบเขต และการออกโฉนดตามแนวเขตที่รังวัดใหม่ซึ่งเปลี่ยนไป สามารถดำเนินการต่อไปได้เพื่อประโยชน์แก่คู่กรณีที่จะได้ทราบแนวเขตที่แท้จริงตามที่ตกลงกัน และถ้าไกล่เกลี่ยแล้วไม่สามารถตกลงกันได้ก็แจ้งให้คู่กรณีไปฟ้องภายใน 90 วัน ถ้าไม่มีการนำคดีไปฟ้องภายในกำหนดดังกล่าวเพียงถือว่าผู้ขอสอบเขตโฉนดที่ดินไม่ประสงค์จะให้ดำเนินการตามคำขออีกต่อไป และทำให้เจ้าพนักงานที่ดินมีอำนาจที่จะไม่รังวัดสอบเขตที่ดินต่อไปได้โดยไม่มีความผิดเท่านั้น หาใช่เป็นบทกำหนดวิธีการและขั้นตอนให้ผู้ยื่นคำขอรังวัดต้องปฏิบัติก่อนจึงจะฟ้องคดีได้ไม่ และไม่มีผลทำให้การถูกโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามความจริงไม่เกิดขึ้นหรือหมดไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ข้อนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น

ส่วนปัญหาว่าที่ดินจำเลยทั้งห้าตามเอกสารหมาย ล.1 ล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์หรือไม่นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยก่อนเห็นว่า…

พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งห้ารับรองแนวเขตที่ดิน โจทก์ตามโฉนดเลขที่ 3071 เอกสารหมาย จ.1 และห้ามมิให้จำเลยทั้งห้าเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share